เอื้องกุหลาบกระเป๋าเปิด
ชื่อสามัญ : เอื้องกุหลาบกระเป๋าเปิด
ชื่อท้องถิ่น : เอื้องกุหลาบหลวง, เอื้องกุหลาบป่า
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aerides falcata Lindl.
ลักษณะ ลำต้น : ยอดเลื้อยทอดทรงโปร่ง ลำต้นส่วนที่ใบร่วงแล้วจะห้อยลง ส่วนยอดจะตั้งขึ้น ลำต้นเป็นข้อปล้อง สามารถแตกเป็นยอดใหม่ได้ ทำให้มีเป็นกล้วยไม้ที่มีกอขนาดใหญ่
ลักษณะใบ : ใบมีความกว้าง ๓ - ๔ เซนติเมตร ยาว ๒๐ - ๓๐ เซนติเมตร ใบแบนหนา ผิวเรียบเป็นมัน ปลายใบยาวเรียว
ลักษณะ ดอก : จะออกดอกระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม ดอกออกเป็นช่อๆละ ๒๐ - ๓๐ ดอก ดอกมีขนาด ๒ - ๓ เซนติเมตร ช่อดอกมีความยาวประมาณ ๒๐ - ๓๐ เซนติเมตร แต่ละช่อดอกจะบานพร้อมกันและช่อจะห้อยลง พื้นกลีบดอกสีขาว ที่ปลายกลีบดอกมีสีชมพูถึงม่วง
แหล่งที่พบในไทย : อิงอาศัยตามต้นไม้ พบที่ระดับความสูง ๓๐๐ - ๑๐๐๐ เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=barongong&month=15-06-2008&group=21&gblog=5
ชื่อวิทยาศาสตร์: Aerides odorata Lour.
ตระกูล: ORCHIDACEAE
ชื่อพื้นเมือง: กุหลาบกระเป๋าปิด กุหลาบขาว, เอื้องเปา, เป็ดน้อย, ม้าหมุย
ลักษณะทั่วไป:
ต้น มี 2 แบบ คือแบบโปร่ง ลำต้นจะบิดเป็นเกลียวเล็กน้อย และต้นห้อยย้อยลงแต่ละต้นมักแตกแขนงเป็นหลายยอด ต้นอาจยาวถึง 1 เมตรครึ่ง และแบบลำต้นหนาแข็ง
ใบ กว้างประมาณ 2.5 ซม. ยาวประมาณ 20-30 ซม. มี 2 แบบตามลักษณะลำต้น คือลำต้นแบบแรกใบจะมีลักษณะแบนและปลายบิด (ภาคใต้) ส่วนลำต้นแบบที่สองใบจะหนาสั้น อวบน้ำ ปลายใบมนเป็นแฉกไม่เท่ากัน (ภาคเหนือ)
ดอก เป็นช่อดอกยาวประมาณ 40 เซนติเมตร และห้อยลง แต่ละช่อมีประมาณ 30 ดอก แต่ละดอกกว้างประมาณ 3 เซนติเมตร ช่อเอนในแนวระนาบหรือห้อยลงเล็กน้อยดอกในช่อมีจำนวนมากกลีบดอกหนาและเป็นมัน คล้ายเทียนไขพื้นดอกสีขาวทั้งสองแบบปลายกลีบเป็นสีม่วงอมแดงอ่อน ๆ ส่วนปลาบปากเป็นสีม่วง มีเดือยดอกค่อนข้างเรียวโค้งยื่นออกมา ทางด้านหน้า บานนานประมาณ 2 สัปดาห์
ราก เป็นแบบรากอากาศ (epiphytic)
ฤดูกาลออกดอก: เมษายน – พฤษภาคม
ส่วนที่มีกลิ่นหอม: ดอก
การใช้ประโยชน์: ไม้ประดับ
ถิ่นกำเนิด: ไทย เนปาล อินเดีย ภูฐาน ลาว มาเลเซีย เวียดนาม เมียนม่าร์ และ ฟิลิปปินส์
แหล่งที่พบ: พบตามป่าดิบเกือบทุกภาค ยกเว้นตะวันออกเฉียงใต้
*กุหลาบ กระเป๋าปิดจากภาคเหนือจะมีโครโมโซมมากกว่าปกติเป็น 2 เท่า ในทางพันธุศาสตร์เรียกพวกนี้ว่า เตตราพลอยด์ (tetraploid-4N) ส่วนพวกที่มีโครโมโซมจำนวนปกติเช่นที่พบทางภาคใต้ เรียกว่า ดิพลอยด์ (diploid-2N)