• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

พืชพรรณต่างๆ มีภาพประกอบ และจัดเป็นหมวดหมู่ตามลักษณะวิสัย ค้นหาได้ง่าย

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - นายณัฐธัญ ปทุมรัตน์

#1
ไม้ล้มลุก / ูลูกใต้ใบ รหัส 7-34190-001-490
22 มิถุนายน 2013, 10:57:07 ก่อนเที่ยง
ลูกใต้ใบ

ชื่ออื่นๆ :   มะขามป้อมดิน หญ้าใต้ใบ หญ้าใต้ใบขาว
ชื่อสามัญ :   Tamalaki, Hazardana
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Phyllanthus amarus Schum & Thonn.
วงศ์ :   Euphorbiaceae
ถิ่นกำเนิด :   -
ลักษณะพฤษศาสตร์ :   ไม้ล้มลุก สูง 10 - 60 ซม. ทุกส่วนมีรสขม ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวปลายคี่ มีใบย่อย 23 - 25 ใบ ใบย่อยรูปขอบขนานแกมไข่กลับ ปลายใบมนกว้างโคนใบมนแคบ ขนาดประมาณ 0.4X1.0 ซม. ก้านใบสั้นมากและมีหูใบสีขาวนวลรูปสามเหลี่ยมปลายแหลมเกาะติด 2 อัน ดอกแยกเพศ เพศเมียมักอยู่ส่วนโคน เพศผู้มักอยู่ส่วนปลายก้านใบ ดอกขนาดเล็กสีขาว เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.08 ซม. ผลทรงกลมผิวเรียบสีเขียวอ่อนนวล ขนาดประมาณ 0.15 ซม. เกาะติดอยู่ที่ใต้โคนใบย่อย เมื่อแก่จะแตกเป็น 6 พู แต่ละพูจะมี 1 เมล็ด เมล็ดสีน้ำตาลรูปเสี้ยว 1/6 ของทรงกลม ขนาดประมาณ 0.1 ซม.
สรรพคุณด้านสมุนไพร :   
ทั้งต้น ช่วยลดไข้ทุกชนิด (ไข้หวัด ไข้ทับระดู ไข้จับสั่น) ขับระดูขาว แก้น้ำดีพิการ แก้ดีซ่าน แก้ขัดเบา แก้ไอ แก้กามโรค แก้ปวดฝี ขับปัสสาวะ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ท้องเสีย

ต้น มีสรรพคุณช่วยลดไข้ แก้บวม แก้ปัสสาวะขัด แก้นิ่ว แก้ปวดฝี แก้ฟกช้ำบวม

ลูก (ผล) แก้ร้อนใน แก้ไข้

ราก ช่วยแก้ไข้หวัด แก้ท้องเสีย แก้บวม แก้ปัสสาวะขัด แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ

เอกสารอ้างอิง :   1.   http://www.ku.ac.th/AgrInfo/plant/plant2/p044.html

2.   http://nmpb.nic.in/bhumi%20amalaki.htm

3.   http://www.samunpai.com/samunpai/show.php?cat=1&id=139

4.   http://www.doa.go.th/botany/phylama.html

5.   http://www.gap-chiangrai.org/new_menu/P_1.htm

6.   ผศ. รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล. สมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. บริษัท บุญรอด บริวเวอรี จำกัด จัดพิมพ์. พิมพ์ที่ อมรินทร์พริ้นติ้งกรุฟ จำกัด. 2535
7.   ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2544. ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้ พิมพ์ครั้งที่ 2 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม). พิมพ์ที่ บริษัทประชาชน จำกัด. 2544

รวบรวมโดย :   ไพร มัทธวรัตน์ หน่วยอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชพรรณ ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ. นครปฐม
http://clgc.rdi.ku.ac.th/index.php/rs/herb/112-phyllanthus
ต้นลูกใต้ใบ  ชื่ออื่นๆ มะขาม ป้อมดิน (ภาคเหนือ) หญ้าใต้ใบ (นครสวรรค์ อ่างทอง ชุมพร) หญ้าใต้ใบขาว (สุราษฎร์ธานี) ไฟเดือนห้า (ชลบุรี) หมากไข่หลัง (เลย) จูเกี๋ยเช่า (จีน) : ยาแก้ไข้ บำรุงตับ ไต และแก้นิ่ว
ลูกใต้ใบ...สมุนไพรบำรุงตับ ลดอาการตับอักเสบ
สร้างความสมดุลของไขมันในตับ
หมอ ยาคนจีนเชื่อว่าถ้ากินลูกใต้ใบติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์จะช่วยกำจัดพิษออกจาก ตับ มีผลทำให้สายตาดี บำรุงตับ รักษาอาการดีซ่าน ซึ่งก็คล้ายๆ กับหมอยาพื้นบ้านไทยและหมออายุรเวทอินเดียที่มีความเชื่อว่า ลูกใต้ใบเกิดมาเพื่อตับ ใช้ต้มกินเป็นยาแก้ดีซ่าน แก้ตับอักเสบตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งมีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดจากลูกใต้ใบมีฤทธิ์ป้องกันไม่ให้ตับถูกทำลายจากสารพิษ เช่น เหล้า รักษาอาการอักเสบของตับทั้งประเภทเฉียบพลันและเรื้อรัง ลูกใต้ใบยังช่วยปรับไขมันในตับให้เป็นปกติ
ลูก ใต้ใบยังเหมาะที่จะใช้ทำเป็นชาสมุนไพรให้กับคนไข้ที่เป็นมะเร็งตับ เพราะมีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า น้ำต้มของลูกใต้ใบทำให้หนูที่เป็นมะเร็งตับมีอายุยืนยาวขึ้น ด้วยกลไกที่ทำให้เซลล์มะเร็งเติบโตช้าลงแต่ไม่ได้ฆ่าเซลล์มะเร็งโดยตรง

การทดลองใช้ยาสมุนไพรรักษาไวรัสตับอักเสบ
พืช สมุนไพรหลายชนิดมีฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์ดีเอ็นเอของไวรัสชนิดนี้ และสารสกัดของมะขามป้อมดิน(ลูกใต้ใบ) แพทย์ชาวอเมริกันและอินเดียได้ร่วมกันทำการทดลองพบว่า ยาสมุนไพรที่ใช้สืบต่อกันมามากกว่า 2,000 ปี สามารถรักษาโรคไวรัสตับอักเสบชนิด บี ได้ผลดี
การ ทดลองนี้เป็นความร่วมมือระหว่างคณะแพทย์จากสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งฟิลาเด ลเฟีย สหรัฐอเมริกา และคณะแพทย์อินเดียแห่งเมืองมีคราสได้ศึกษาวิจัยพืชสมุนไพรชนิดต่างๆ ที่มีการใช้รักษาอาการดีซ่านมาตั้งแต่โบราณ โดยได้นำพืชสมุนไพรกว่า 1,000 ชนิดที่ใช้กันทั่วโลกมาทดสอบความสามารถในการยับยั้งปฏิกิริยาของเอนไซม์ที่ ใช้ในการสังเคราะห์สารดีเอ็นเอ ซึ่งจำเป็นในการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ในร่างกายของผู้ป่วย
จาก การทดลองพบว่า พืชสมุนไพรหลายชนิดมีฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์ดีเอ็นเอของไวรัสชนิดนี้ และสารสกัดของมะขามป้อมดิน (บางแห่งเรียก ลูกใต้ใบ หญ้าใต้ใบขาว) มีฤทธิ์สูงสุด การทดลองทางคลินิกในมีคราสทำโดยให้แคปซูลยาสมุนไพร 200 มิลลิกรัมน้ำหนักแห้งแก่ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ บี 37 คน วันละครั้ง 30 วันติดต่อกันพร้อมกับให้ยาหลอกซึ่งภายในแคปซูลบรรจุน้ำตาลแล็กโทสแทน 23 คน หลังจากนั้นเจาะเลือดผู้ป่วยมาตรวจหาเชื้อไวรัส พบว่าผู้ป่วย 22 คน (ร้อยละ 59) ไม่มีเชื้อไวรัสในกระแสเลือด ในขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกเพียง 1 คนที่ไม่พบเชื้อไวรัสในกระแสเลือด และภายหลังการติดตามผลการรักษาต่อไปอีก 9 เดือน พบว่า ผู้ป่วยทั้ง 22 คน ยังคงตรวจไม่พบเชื้อไวรัสในกระแสเลือดต่อไป
แพทย์ พบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแต่ไม่ได้ผลยังพบเชื้อไวรัสอยู่นั้น เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนั้นเพิ่งได้รับเชื้อไวรัสใหม่ๆ จึงยังคงมีเชื้อไวรัสจำนวนมากมายในระยะเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว จึงควรจะให้ยาในขนาดที่สูงขึ้นอีก การใช้มะขามป้อมดินในการรักษาอาการดีซ่านนี้ ได้กล่าวไว้ครั้งแรกในตำราอายุรเวทอินเดียมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว และสารสกัดจากพืชนี้ได้มีการใช้รักษาอาการดีซ่านในประเทศจีน ฟิลิปปินส์ คิวบา ไนจีเรีย กวม แอฟริกาตะวันออกและตะวันตก อเมริกาใต้และอเมริกากลาง และพืชในตระกูลนี้กว่า 900 ชนิด พบขึ้นอยู่ทั่วไปในเขตร้อน
(จาก Herbal drug succeed in hepatitis trials. Far East Health 2531;11:8)
ร.ศ.จันทร์เพ็ญ วิวัฒน์
ข้อมูลจาก หมอชาวบ้าน       http://thrai.sci.ku.ac.th/node/995
                                    ลูกใต้ใบ
                           


ชื่ออื่นๆ :     มะขามป้อมดิน  หญ้าใต้ใบ  หญ้าใต้ใบขาว   หมากไข่หลัง  หมากใต้ใบ


ชื่อสามัญ :     Tamalaki, Hazardana


ชื่อวิทยาศาสตร์ :     Phyllanthus amarus Schum & Thonn.


วงศ์ :     Euphorbiaceae
ลักษณะ พฤษศาสตร์ :   ไม้ล้มลุก สูง 10.00 - 60.00 เซนติเมตร ทุกส่วนมีรสขม ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวปลายคี่ มีใบย่อย 23 - 25 ใบ ใบย่อยรูปขอบขนานแกมไข่กลับ ปลายใบมนกว้างโคนใบมนแคบ ขนาดประมาณ 0.40 X 1.00 เซนติเมตร ก้านใบสั้นมากและมีหูใบสีขาวนวลรูปสามเหลี่ยมปลายแหลมเกาะติด 2 อัน ดอกแยกเพศ เพศเมียมักอยู่ส่วนโคน เพศผู้มักอยู่ส่วนปลายก้านใบ ดอกขนาดเล็กสีขาว เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.08 เซนติเมตร ผลทรงกลมผิวเรียบสีเขียวอ่อนนวล ขนาดประมาณ 0.15 เซนติเมตร เกาะติดอยู่ที่ใต้โคนใบย่อย เมื่อแก่จะแตกเป็น 6 พู แต่ละพูจะมี 1 เมล็ด เมล็ดสีน้ำตาลรูปเสี้ยว 1/6 ของทรงกลม ขนาดประมาณ 0.10 เซนติเมตร
ลูกใต้ใบ...สมุนไพรของผู้ป่วยเบาหวาน
ลูก ใต้ใบ เป็นสมุนไพรยอดนิยมของผู้ป่วยเบาหวาน หมอยาและชาวบ้านในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย เชื่อว่าลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรช่วยคุมระดับน้ำตาลในคนเป็นโรคเบาหวานได้ ซึ่งมีการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาพบว่าสารสกัดของลูกใต้ใบมีฤทธิ์ลดระดับ น้ำตาลในเลือดได้
ข้อแนะนำ...สำหรับการ ใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน หากจะใช้สมุนไพรต้องรับประทานยาแผนปัจจุบันตามคำสั่งแพทย์และมีการตรวจวัด ระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งมีรายงานที่แสดงให้เห็นว่าลูกใต้ใบช่วยเสริมฤทธิ์ของยาเบาหวาน

ลูกใต้ใบ...สมุนไพร ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว
หมอ ยาทั่วทุกภาคจะใช้ลูกใต้ใบในการเป็นยาขับนิ่ว มีรายงานการศึกษาสมัยใหม่ว่าลูกใต้ใบมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ ซึ่งมีประโยชน์ในการขับนิ่ว และลดความดัน ฤทธิ์ในการขับนิ่วนั้น มิใช่หมอยาพื้นบ้านไทยเท่านั้นที่รู้จักใช้ ในสเปน เรียกลูกใต้ใบว่า Chanca piedra มีความหมายว่า นักทุบหิน หรือทำให้หินเป็นชิ้นเล็กๆ (Stone breaker or Shatter stone) ในบราซิลเรียกลูกใต้ใบว่า Quebra-pedra หรือ Arranca-pedras ซึ่งมีความหมายในทำนองเดียวกัน หมอยาพื้นบ้านในแถบลุ่มน้ำอเมซอนนิยมใช้ลูกใต้ใบ ต้มกินในการรักษานิ่วทั้งนิ่วในถุงน้ำดีและนิ่วในไต มีรายงานการศึกษาพบว่าลูกใต้ใบมีฤทธิ์ทั้งป้องกันและกำจัดนิ่ว
ลูก ใต้ใบ เป็นสมุนไพรที่จัดว่ามีการใช้กับระบบทางเดินปัสสาวะมากที่สุดชนิดหนึ่ง โดยมีการนำไปใช้รักษาอาการมีไข่ขาวในปัสสาวะ อาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ใช้ในการขับปัสสาวะ ลดอาการบวม และขับกรดยูริคออกทางปัสสาวะ ซึ่งช่วยในคนเป็นโรคเก๊าท์
________________________________________
ข้อควรระวัง
ห้ามใช้ในคนท้อง เพราะลูกใต้ใบเป็นยาขับประจำเดือน
ลูกใต้ใบ เป็นสมุนไพรที่น่าเสียดายว่าหาง่าย ใช้ง่าย เพียงแค่ต้มกินก็ใช้ได้แล้ว ใช้กันมานาน...
เพิ่มเติม...
๑.   แก้ไข้ท้ับระดู  นำหญ้าใต้ใบทั้ง ๕ ล้างน้ำสะอาด ตำละเอียดผสม สุรา คั้นเฉพาะน้ำยา กินครั้งละ ๑ ถ้วยชา
๒.   แก้ร้อนใน  ให้เอาหญ้าใต้ใบทั้ง ๕ ต้มกิน
๓.   ขับเหงื่อ  เอาหญ้่าใต้ใบต้มกินขับเหงื่อ ลดไข้ได้
๔.   ขับปัสสาวะ  นำหญ้่าใต้ใบต้มกิน กระตุ้นไตให้ทำงานและขับ ปัสสาวะ
๕.   แก้ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ  ใช้ หญ้าใต้ใบต้มกิน รักษาโรคติด เชื้อทางเดินปัสสาวะ เช่น ไตอักเสบจนตัวบวม ( ให้สังเกตดู กินแล้วต้อง มีปัสสาวะออก ถ้ากินแล้วปัสสาวะไม่ออกให้หยุดยา
๖.   แก้นิ่ว   หญ็าใต้ใบทั้ง ๕ จำนวน ๑ กำมือ ตำแหลกคั้นน้ำดื่มให้ได้ ครึ่งถ้วยชา เอาสารส้มขนาดปลายนิ้วก้อยละลายลงไป ดื่มให้หมดครั้งละ ครึ่งถ้วยชา วันละ ๓ เวลาก่อนอาหาร ดื่มติดต่อกันให้ได้ ๓ วัน จากนั้น ใช้ลูกใต้ใบ ทั้ง๕ จำนวน ๑ กำมือ ต้มกับน้ำตาลทรายแดงให้พอหวาน ดื่มต่างน้ำติดต่อกันอีก ๓ วัน ขึ้นวันที่ ๗ ดื่มน้ำ้อ้อยสด วันละ ๑ ขวดน้ำ ปลา อีก ๓ วัน เพื่อล้างนิ่วเป็นขั้นสุดท้าย รวม ๑ รอบ การรักษาเป็นเวลา ๙ วัน
๗.   แก้ประจำเดือนมากว่าปกติ   ใช้รากสดต้นลูกใต้ใบตำผสมกับ น้ำซาวข้าวกิน
๘.   ขับประจำเดือน  ใช้ต้นลูกใต้ใบต้มกินขับประจำเืดือน
๙.   แก้นมหลง  หญิง ที่คลอดบุตรแล้วน้ำนมที่เีคยไหลเกิดหยุดไหล และมีอาการปวดเต้านมด้วย เรียกอาการนี้ว่า นมหลง ถ้าปล่อยไว้จะ กลายเป็นฝีที่นมได้ วิธีใช้คือ เอาลูกใต้ใบทั้งห้า จำนวน ๑ กำมือ ตำผสม เหล้าขาวคั้นเาอน้ำกิน ๑ ถ้วยชา เอากากพอกทำเพียงครั้งเดียว ไม่กี่นาที นมจะไหลออกมา
๑๐.  แก้ปวดหลังปวดเมื่อย  ใช้หญ้าใต้ใบทั้ง ๕ ล้างน้ำสะอาด สับเป็น ชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้ง ใส่หม้อดินต้ม ดื่มน้ำยาต่างน้ำชา มีสรรพคุณ แก้ปวดหลังปวดเอว
๑๑.  แก้เถาดานในท้อง  เถาดาน มีลักษณะเป็นก้อนแข็งในท้อง บางที มีลักษณะเป็นแผ่นแข็ง อาจเป็นผลทำให้ปวดหลังตามาได้ เอาลูกใต้ใบ ทั้งห้า ตากให้แห้ง ๑ ลิตร แช่ในสุรา ๑ ลิตร หมกข้าวเปลือกไว้ ๗ วัน แล้วเอามานึ่ง คะเนว่าธูปหมด ๑ ดอก กิน เช้า-เย็น
๑๒.  ยาบำรุง  ใช้รากและใบของลูกใต้ใบ ทำเป็นยาชงน้ำกิน โดยถือว่า เป็นยาบำรุงกำลังอย่างดี
๑๓.  แก้เบาหวาน   ให้เอาลูกใต้ใบทั้งห้า ๑ กำมือ ต้มดื่มแก้เบาหวาน
๑๔.  แก้ดีซ่าน  เอา ลูกใต้ใบทั้งห้า ต้ม ๓ เอา ๑ กินครั้งละ ครึ่ง -๑ แก้ว วันละ ๓ -๔ ครั้ง ในจีนใช้ต้นหญ้่าใต้ใบต้มกินติดต่อกัน ๑ สัปดาห์ และ ยังถือว่าช่วยกำจัดพิษออกจากตับ ซึ่งจะมีผลทำให้สายตาดี ส่วนใน อินเดีย ใช้เฉพาะรกาต้มกิน เป็นยาแก้ดีซ่านดีมาก
๑๕  แก้กระเพาะอาหารพิการ  ใช้รากลูกใต้ใบต้มหรือชงน้ำกิน บำรุง กระเพาะอาหาร ในเขมรใช้ลูกใต้ใบเป็นยาเจริญอาหาร ในจีน ใช้ หญ้าใต้ใบรักษาำลำไส้อักเสบ
๑๖.  รักษาแผล  ในอินเดีย ใช้ใบลูกใต้ใบ ตำพอกหรือตำคั้นเอาน้ำทา รักษาแผลสด แผลฟกช้ำ และใช้ใบตำผสมน้ำซาวข้าวพอกรักษาแผล เรื้อรัง
๑๗.  แก้คัน  ใช้ใบผสมกับเกลือ ตำแก้คัน
๑๘.  แก้ิเริม  ใช้ลูกใต้ใบทั้งห้า ตำผสมเหล้าคั้นเอาน้ำยา แล้วเอาสำลี ชุบแปะตรงที่เป็นเริม จะรู้สึกเย็นและหายปวด
๑๙.  แก้ฟกช้ำ   ใช้ต้นสดๆ ตำผสมกับสุราพอกแก้ฟกบวม บางตำรา ใช้คลุกกับข้าวสุกเสียก่อน ค่อยพอก ในอินเดีย ใช้ใบและรากแห้งบดเป็น ผงผสมกับน้ำซาวข้าวพอกแก้ฟกบวม
๒๐.  แก้ฝี  ใช้ต้นหญ้าใต้ใบสดๆ ตำผสมกับสุรา เอาน้ำทาหรือพอกแก้ ปวดฝี
๒๑.  แก้หืด   ใช้ลูกใต้ใบ ทั้งห้า นำมาล้างให้สะอาด ตำให้ละเีอียดผสม กับน้ำอุ่น คั้นเอาน้ำเฉพาะน้ำดื่มครั้งละ ๒-๓ อึก เป็นเวลา ๓ วันๆละ ๓ ครั้ง ก่อนอาหาร
๒๒.  แก้บิด   ใช้ลูกใต้ใบทั้งห้าต้มกิน หรือใช้ลูกใต้ใบทั้งห้า แทรกปูน แดง ขนาดเม็ดถั่วดำ ต้มรวมกันกินแก้บิด
สูตร กรมหลวงชุมพร ฯ
ถอนทั้งต้นทั้งราก   ของต้นหญ้าลูกใต้ใบ
มากน้อยตามต้องการ  ล้างน้ำให้สะอาด
สับเป็นชิ้นๆ  ตากแดดให้แห้ง   
ใส่หม้อดิน เติมน้ำพอสมควร ชงเป็นน้ำชาหรือต้มดื่มต่างน้ำ แก้โรคปวดเอว ปวดหลัง โรคไต 
จาก http://www.geocities.com/thaimedicinecm/sansilpayathai24.htm
http://www.managerroom.com/forums/forum_posts.asp?TID=5993&PN=1
เพิ่มเติม..
รส ขมจัด แก้ไข้ทุกชนิด แก้ไข้จับสั่น ดับพิษร้อน แก้พิษ ตานซาง แก้โทษน้ำดีพิการ กระตุ้นไตให้ทำงาน แก้ขัดเบา แก้กามโรค แก้ดีซ่าน แก้ริดสีดวง แก้โรคท้องมาน แก้ปวดท้อง แก้ไข้ทับระดู ขับปัสสาวะ ลดความดันเลือด รักษาโรคตับอักเสบขนิดบี แก้นิ่ว แก้ร้อนใน แก้เบาหวาน แก้กระเพาะอาหารพิการ แก้ิเริม

-ต้านไวรัสที่ก่อโรคตับอักเสบ
-ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อเอชไอวี
-ฤทธิ์ antioxidant และต้านอนุมูลอิสระ
-ฤทธิ์ลดการเจ็บปวดและอาการบวม
-ฤทธิ์ต้านการเกิดแผลของกระเพาะอาหาร
-ฤทธิ์ต้านอาการท้องเสีย
-ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด
-ฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์
-ฤทธิ์ ต้านเนื้องอกและต้านมะเร็ง ทำให้ก้อนเนื้องอกมีขนาดเล็กลง สามารถต้านการเกิดมะเร็ง ในหนูที่ได้รับสารก่อมะเร็ง และยืดอายุของหนูที่ได้รับการปลูกถ่ายเซลล์มะเร็งและทำให้ก้อนเนื้องอกมี ขนาดเล็กลง
-ฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็ง มีพิษต่อเซลล์มะเร็งโดยไม่มีพิษต่อเซลล์ปกติต่างๆ โดยทำให้เซลล์มะเร็งเกิด apoptosis
-ฤทธิ์ต้านไวรัส
-ฤทธิ์ต้านอาการเจ็บปวด
-ฤทธิ์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน มีผลลดยับยั้งการสร้างหรือการกำจัดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของคน

ข้อมูลจาก...สถาบันวิจัยสมุนไพร
***หมาย เหตุ...ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงความรู้เสริมเพื่อใช้เป็นอีกหนึ่งทางเลือก เท่านั้น...ยาทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นแผนปัจจุบันหรือแผนโบราณล้วนมีทั้งคุณและ โทษกล่าวคือ อาจจะมีประโยชน์เพื่อรักษาระบบใดระบบหนึ่งแต่ก็อาจมีโทษกับอีกระบบหนึ่งของ ร่างกาย  ดังนั้นก่อนใช้ควรศึกษาหรือปรึกษาผู้ที่มีความรู้ด้านนั้นๆเสียก่อน..... เช่นฟ้าทะลายโจรช่วยรักษาอาการเจ็บคอรับประทานครั้ง2-3เม็ดหลังอาหาร  แต่ฟ้าทะลายโจรจัดเป็นยาเย็นดังนั้นจึงไม่ควรรับประทานนานเกินไปเพราะจะเกิดอาการมือเท้าชา อ่อนแรงได้......

   

http://www.oknation.net/blog/nonglek/2009/11/18/entry-1
#2
ไม้ต้น / ทุเรียนเทศ รหัส 7-34190-001-489
22 มิถุนายน 2013, 10:54:33 ก่อนเที่ยง
ทุเรียนเทศ*


ชื่อวิทยาศาสตร์ Annona muricata L.
ชื่อวงศ์ ANNONACEAE
ชื่อสามัญ Sour Sop, Durian belanda, Guanabana
ชื่อไทยอื่นๆ ทุเรียนน้ำ (ภาคใต้), ทุเรียนแขก (ภาคกลาง), มะทุเรียน (ภาคเหนือ)
ทุเรียน เทศ เป็นไม้ผลเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกากลาง เริ่มแพร่กระจายไปสู่พื้นที่เขตร้อนทั่วโลกราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 และแพร่กระจายมายังประเทศฟิลิปปินส์รวมทั้งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนักเดินเรือชาวสเปน
ทุเรียนเทศเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ผลคล้ายทุเรียนสีเขียวสด แต่เปลือกไม่มีหนามแหลมและนิ่มเมื่อสุก ดอกมีกลิ่นหอมอมเปรี้ยวส่งกลิ่นหอมตั้งแต่ช่วงบ่าย เนื้อในผลมีรสหวานอมเปรี้ยวเป็นเส้นใยเกาะกันเหนียวแน่น


ผล ผลมีสีเขียวรูปกลมรี มีหนามนิ่มที่เปลือกผล ผลมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 - 20 เซนติเมตร ยาว 15 - 30 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 0.5 – 3.0 กิโลกรัม ภายในมีเนื้อคล้ายน้อยโหน่ง สีขาว มีรสเปรี้ยว รสหวานเล็ก น้อย เนื้อจะไม่แยกแต่ละเมล็ดเป็นหนึ่งตาเหมือนน้อยหน่า ถ้าผลดิบมีรสอมเปรี้ยว และมีรส มันเล็กน้อย เมล็ดแก่สีน้ำตาลดำ หุ้มด้วยเนื้อสีขาว

การปลูก ทุเรียน เทศชอบดินร่วน มีความชุ่มชื้น ระบายน้ำได้ดี มีแสงแดดครึ่งวันถึงรำไร นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในบ้าน ในการปลูกเป็นการค้านิยมปลูกในประเทศมาเลเซีย โดยมีระยะปลูก 4 + 4 เมตร ให้ผลได้ในปีที่ 4 ได้ผลผลิตประมาณ 1.5 – 2 ตันต่อไร่ต่อปี

ประโยชน์ของทุเรียนเทศ นิยมนำมาประกอบเป็นอาหาร ในประเทศไทยนำผลแก่มารับประทาน ในภาคใต้นิยมนำผลอ่อนมาทำแกงส้มและเชื่อม ในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย นิยมนำผลอ่อนที่เมล็ดยังไม่แข็งมารับประทานเป็นผัก ผลแก่นำมาทำขนมหวาน เช่น นำเนื้อมาผสมในไอศกรีม เครื่องดื่มนมผสมผลไม้รวม เยลลี่ น้ำผลไม้ ในประเทศมาเลเซีย มีการทำน้ำทุเรียนเทศอัดกระป๋อง ซึ่งได้รับความนิยมมาก เนื่องจากทุเรียนเทศประกอบด้วย แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามิน เอ วิตามิน ซี นำตาลและกรดอินทรีย์อีกหลายชนิด

สรรพคุณทางยาของทุเรียนเทศ ได้แก่ ผลสุกรับประทานแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน ผลดิบรับประทานแก้โรคบิด เมล็ดใช้สมานแผลห้ามเลือด ใช้เบื่อปลาและฆ่าแมลง ส่วนใบ ใช้รักษาโรคผิวหนัง แก้ไอ ปวดตามข้อ
เขียนโดย mOoKew ที่ วันพุธ, ธันวาคม 08, 2010
http://mookew-defrance.blogspot.com/2010/12/blog-post_08.html

ชื่อพื้นเมือง ทุเรียนแขก (ภาคกลาง) มะทุเรียน (ภาคเหนือ) Durian belanda, Guanabana, Sour sop
ชื่อวิทยาศาสตร์ Annona muricata L.
ชื่อวงศ์ ANNONACEAE
ลักษณะ ไม้ต้นขนาดเล็ก ใบเดี่ยว เรียงสลับในระนาบเดียวกัน ดอกเดี่ยว สีเหลือง มีกลิ่นหอมอมเปรี้ยว ผลกลุ่ม มีหนามอ่อนเล็กๆ ห่างๆ ที่ผิวของผล
สรรพคุณ ใบ ต้มทารักษาโรคผิวหนังที่เกิดกับเด็ก แก้ไอ แก้ปวดตามข้อ ผล แก้ลักปิดลักเปิด เมล็ด ทำให้อาเจียน แก้บิด ฝาดสมาน สมานแผล ห้ามเลือด ใช้เบื่อปลา และเป็นยาฆ่าแมลง
ที่มา พฤกษาน่าสน

http://thrai.sci.ku.ac.th/node/2189
#3
ไม้ต้น / กรวยป่า รหัส 7-34190-001-488
22 มิถุนายน 2013, 10:51:32 ก่อนเที่ยง
กรวยป่า
กรวยป่า
ชื่อพื้นเมือง สีเสื้อหลวง ก้วย (ภาคเหนือ) ขุนเหยิง (สกลนคร) คอแลน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ตวย (เพชรบุรี) หมากผ่าสาม (นครพนม อุดรธานี) หมูหัน

ชื่อวิทยาศาสตร์ Casearia grewiifolia Vent.
ชื่อวงศ์  กระเบา FLACOURTIACEAE
ชื่อสกุลไม้ Casearia Jacq.   

นิเวศวิทยาและการกระจายพันธุ์
     ในประเทศไทย พบตั้งแต่ ป่าชายหาดจนถึงป่าดงดิบ ป่าละเมาะ และป่าเบญจพรรณ อาจพบกระจายทั่วไปในลักษณะไม้เบิกนำที่ดี

      ในต่างประเทศ พบที่ พม่า อินโด-ไชนา มาเลย์ เพนนินซูลาร์
ลักษณะทั่วไป

      ต้นไม้ เป็นไม้ต้น ขนาดเล็ก ผลัดใบ สูง 8 - 15 ม. ลำต้นเปลาตรง เรือนยอด เป็นพุ่มกลมหรือรูปกรวยทึบกิ่งอ่อนมีช่องระบายอากาศมากและมีขนสีน้ำตาลแดงทั่วไป เปลือกนอก สีเทาปนน้ำตาล ผิวเรียบหรือแตกสะเก็ดเล็ก ๆ เปลือกใน ค่อนข้างหนา สีน้ำตาลอ่อนอมแดง
     ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับออกสองข้างของกิ่ง รูปขอบขนาน หรือขอบขนานแกมรูปไข่ กว้าง 3 - 6 ซม. ยาว 8 - 13 ซม. ปลายในแหลม โคนมกว้าง เนื้อใบหนาหลังใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบมีขนสีเทาอ่อนนุ่ม บางทีไม่พบขน ใบอ่อน สีสนิมเหล็กจาง ๆ ใบแก่ เขียวเข้ม เส้นแขนงใบ มี 8 - 12 คู่ เส้นใบย่อยแบบเส้นขั้นบันไดเห็นชัดทางด้านท้องใบ ขอบใบหยักเป็นคลื่นมน ๆ หรือบางทีเกือบเรียบ
     ดอก เล็ก สีเขียวอ่อนหรือแกมเหลือง ออกเป็นกระจุก ๆ ตามกิ่ง ดอกเพศผู้และเมียอยู่ต่างดอกกัน ภายในต้นเดียวกัน วงกลีบรวมมี 5 กลีบ รูปงองุ้ม แต่ละกลีบไม่ติดกัน ด้านนอกขนแน่น ส่วนด้านในเกลี้ยง เกสรผู้มี 8 ดัน ไม่มีกลิ่น
     ผล ผลสด รูปกลมรี ๆ ปลายแหลมหรือมน เส้นผ่านศูนย์กลาง 2 - 2.5 ซม. ยาว 2.5 - 3 ซม. ผลสุกคล้ายผลมะไฟ เป็นกลุ่มแน่นตามกิ่ง ผลอ่อน สีเขียว เมื่อผลแก่จัด สีเหลือง แตกออกเป็น 3 กลีบ และมี 3 พู เมล็ดมีเยื่อหุ้ม สีส้มแดง จำนวนเมล็ด 3 เมล็ด
     ระยะเวลาในการออกดอกและเป็นผล ออกดอกระหว่างเดือน มีนาคม-พฤษภาคม ผลจะแก่ระหว่าง เดือน พฤษภาคม-กรกฎาคม
     การขยายพันธุ์ ปกตินิยมเพาะชำด้วยเมล็ด
ลักษณะเนื้อไม้
     เนื้อไม้แปรรูป เนื้อไม้สีน้ำตาลอ่อนเกือบขาว
การใช้ประโยชน์
     ด้านเนื้อไม้แปรรูป ใช้ทำเครื่องมือทางการเกษตร เช่น ด้ามจอบ เสียม พลั่ว มีด ขวาน ฯลฯ
       ด้านสมุนไพร ส่วนที่ใช้เป็นสมุนไพรและมีสรรพคุณ คือ 
          ราก รสเมาเบื่อ แก้ท้องร่วง แก้ตับพิการ บำรุงตับ บำรุงธาตุ แก้ริดสีดวงต่าง ๆ แก้บิดมูกเลือด
           เปลือกต้น รสเมาขื่น บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง ขับผายลม บำรุงโลหิต เป็นยาคุมธาตุ สมานแผล แก้อุจาจาระร่วง
           ใบ รสเมาเบื่อ แก้พิษกาฬ แก้พิษอักเสบจากหัวกาฬ แก้โรคผิวหนัง แก้ริดสีดวงจมูก แก้ผดผื่นคัน รักษามะเร็งลาม
           ดอก รสเมา แก้พิษกาฬ พิษไข้ตัว
           ลูก แก้บิดปวดแบ่ง แก้เสมหะเป็นพิษ แก้ลงท้องกัดเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว ฟอกโลหิต แก้เลือดออกตามไรฟัน
           เมล็ด รสเมาเบื่อ แก้ริดสีดวงทวาร แก้พยาธิผิวหนัง แก้โรคผิวหนัง แก้ริดสีดวงจมูก ใช้เบื่อปลา
     ข้อมูลการวิจัยที่สำคัญ

          ไม่มีรายงานการวิจัยทางเคมีและเภสัชวิทยา
     ด้านการเป็นไม้ประดับ ความน่าสนใจของไม้ต้นนี้คือ เป็นไม้ที่มีช่วงการปลูกได้กว้างขวาง มีลักษณะเป็นไม้เบิกนำที่ดี โดยเฉพาะมีรูปทรงต้นและเรือนยอดรูปกรวยหรือพุ่มกลมรี มองดูสวยโดดเด่น
http://203.114.105.84/virtual/Physicals/www.thaimedicinalplant.com/popup/gruay-pa.html
กรวยป่า
ชื่อท้องถิ่น:   กรวยป่า
ชื่อสามัญ:   กรวยป่า
ชื่อวิทยาศาสตร์:   Casearia grewiifolia Vent.
ชื่อวงศ์:   Flacourtiaceae
ลักษณะวิสัย/ประเภท:   ไม้ยืนต้น
ลักษณะพืช:   ลักษณะทั่วไป (Characteristic) :     ไม้ต้นขนาดเล็กถึง
ขนาดกลาง สูง 5-15 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มกลม หรือรูปกรวยทึบ ลำต้นเปลาตรง  เปลือกเรียบสีเทาหรือสี
น้ำตาลอ่อน
ใบ(Foliage) :  ใบเดี่ยว  เรียงสลับ  ใบรูปขอบชนานหรือรูปขอบขนานแกมรูปไข่ กว้าง 3-6 เซนติเมตร ยาว 8-
13 เซนติเมตร  ปลายใบแหลม โคนใบเว้าเข้า   ผิวใบด้านบนเกลี้ยง ด้านล่างมีขนอ่อนนุ่ม แผ่นใบหนา ขอบใบ จักถี่ๆ  เส้นแขนงใบข้างละ 8-12 เส้น  ก้านใบยาว 0.6-1.2 เซนติเมตร
ดอก (Flower) :    สีขาวหรือเหลืองอมเขียว   ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกตามกิ่งหรือซอกใบ ดอกแยกเพศอยู่ต่าง ดอกภายในต้นเดียวกัน กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปงองุ้มมีขนปกคลุมด้านนอก ไม่มีกลีบดอกเกสรเพศผู้ 8 อัน ดอกบาน
เต็มที่กว้าง 0.8-1 เซนติเมตร
ผล (Fruit) :  ผลสดเเบบมีเนื้อหลายเมล็ด ทรงไข่ กว้าง 1.5-2 เซนติเมตร ยาว 2.5-5 เซนติเมตร เป็นพูตามยาว 3 พู ผิวเรียบ ผนังหนา ผลสุกสีเหลือง แก่จัดจะแตกตามรอยประสานเป็น 3 แฉก เมล็ดเป็นเหลี่ยม มีเนื้อหุ้ม สีแสด
ปริมาณที่พบ:   มาก
การขยายพันธุ์:   ใช้เมล็ด
อธิบายวิธีการเพาะ/ขยายพันธุ์:   
การใช้ประโยชน์/ส่วนที่นำไปใช้ประโยชน์:   การใช้ประโยชน์
ด้านเนื้อไม้แปรรูป ใช้ทำเครื่องมือทางการเกษตร เช่น ด้ามจอบ เสียม พลั่ว มีด ขวาน ฯลฯ
ด้านสมุนไพร ส่วนที่ใช้เป็นสมุนไพรและมีสรรพคุณ คือ
ราก รสเมาเบื่อ แก้ท้องร่วง แก้ตับพิการ บำรุงตับ บำรุงธาตุ แก้ริดสีดวงต่าง ๆ แก้บิดมูกเลือด
เปลือกต้น รสเมาขื่น บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง ขับผายลม บำรุงโลหิต เป็นยาคุมธาตุ สมานแผล แก้อุจาจาระร่วง
ใบ รสเมาเบื่อ แก้พิษกาฬ แก้พิษอักเสบจากหัวกาฬ แก้โรคผิวหนัง แก้ริดสีดวงจมูก แก้ผดผื่นคัน รักษามะเร็งลาม
ดอก รสเมา แก้พิษกาฬ พิษไข้ตัว
ลูก แก้บิดปวดแบ่ง แก้เสมหะเป็นพิษ แก้ลงท้องกัดเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว ฟอกโลหิต แก้เลือดออกตามไรฟัน
เมล็ด รสเมาเบื่อ แก้ริดสีดวงทวาร แก้พยาธิผิวหนัง แก้โรคผิวหนัง แก้ริดสีดวงจมูก ใช้เบื่อปลา
แหล่งที่พบ:   ชุมชนตำบลปางสวรรค์
ข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติม:   
ฤดูกาลที่ใช้ประโยชน์ได้:   ทุกฤดูกาล
แหล่งที่มาของข้อมูล:   ชุมชนตำบลปางสวรรค์
คำช่วยค้นหา(keyword):   -
ผู้บันทึกข้อมูล:   เมฤดี คำธรรม

วันที่บันทึกข้อมูล:   6/7/2010 12:03:41 PM
วันที่แก้ไขล่าสุด:   6/17/2010 4:38:45 PM
จำนวน view:   116 ครั้ง
สถานะการตรวจสอบ:   ยังไม่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้อง
http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=5625
#4
ไม้ล้มลุก / ว่านสี่ทิศ รหัส 7-34190-001-487
22 มิถุนายน 2013, 10:48:43 ก่อนเที่ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์:  Hippeastrum johnsonii Bury
ชื่อวงศ์:  Amaryllidaceae
ชื่อสามัญ:  Star Lily
ลักษณะทั่วไป:
    ต้น  เป็นพรรณไม้ดอกอายุสั้น พุ่มสูง 35 - 60 เซนติเมตรที่มีลักษณะมีลำต้นเป็นหัวหรือเหง้าอยู่ใต้ดิน และส่วนที่โผล่ขึ้นมานั้นจะเป็นส่วนก้านใบและตัวใบเท่านั้น ซึ่งหัวนี้ลักษณะจะคล้ายๆกับหอมหัวใหญ่
    ใบ  ใบที่โผล่ขึ้นมาเหนือดินนั้นจะมีลักษณะเป็นรูปหอกเรียวยาว และมีสีเขียวสดเป็นมัน ใบหนา ขอบใบเรียบไม่มีจัก ใบกว้างประมาณ 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 15 - 30เซนติเมตร หรือาจจะมากกว่านั้นก็ได้
    ดอก  ออกปลายก้าน ออกเป็นช่อ 4 - 8 ดอก หันไปทั้งสี่ทิศ ดอกรูปถ้วย ขนาดดอก 8 - 15 เซนติเมตร มี 6 กลีบ มี สีขาว สีชมพู สีแดง และบางชนิด มีแถบสีต่างๆพาดกลีบ ดอกแรกที่จะบานจะรอจนดอกที่ 4 บานจึงจะเหี่ยว
    เมล็ด  เมล็ดมีขนาดใหญ่สีดำหรือน้ำตาล เมล็ดอยู่ในฝักที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่
ฤดูกาลออกดอก:  พฤษภาคม - เดือนมิถุนายน
การดูแลรักษา:  ปลูกในดินปนทราย หรือดินร่วนซุย ในบริเวณกลางแจ้ง ที่มีแสงแดดจัด มีความต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง
การขยายพันธุ์:  แยกหน่อ หรือแยกหัวไปปลูกใหม่
การใช้ประโยชน์:
    -    ไม้ประดับ
    -    สมุนไพร
สรรพคุณทางยา:  หัวมาโขลกละเอียดผสมเหล้าโรง 40 ดีกรี พอกรักษาฝีประเภทต่างๆ
ความมงคล:  เชื่อกันว่าถ้าเลี้ยงว่านสี่ทิศให้ออกดอกพร้อมกันได้ทั้งสี่ดอกหรือสี่ทิศ ผู้เลี้ยงจะมีโชคลาภ และหากว่าในช่วงที่ว่านสี่ทิศกำลังออกดอกทั้งสี่อยู่นั้น ผู้เลี้ยงคิดจะทำอะไร ก็จะประสบความสำเร็จทุกประการ แต่ถ้าหากว่า ว่านสี่ทิศออกดอกไม่ครบทั้งสี่ดอก หรือออกดอกแค่ 2 หรือ 3 ดอก ก็จะไม่เป็นผลดีแก่ผู้เลี้ยงเหมือนเป็นลางบอกเหตุว่าจะมีสิ่งไม่ดีเกิดแก่ ผู้เลี้ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์   Hippeastrum johnsonii.
วงศ์     AMARYLLIDACEAE
ชื่อสามัญ    Wan-See-Til
ชื่ออื่นๆ   -
ลักษณะทั่วไป
ว่านสี่ทิศเป็นพันธุ์ไม้ในวงศ์พลับพลึง มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดินมีลักษณะคล้ายกับหอมหัวใหญ่ ส่วนที่โผล่ขึ้นมาเหนือดินเป็นส่วนของก้านใบ และตัวใบเท่านั้น ลักษณะของใบเป็นสีเขียว รูปหอกยาวเรียว ปลายมน ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 3-5 ซม. และยาวประมาณ 25–30 ซม. ก้านดอกจะแทงสูงขึ้นจากกอ มีความประมาณ 25-30 ซม. ดอกออกตรงปลายก้านดอก มีสีชมพูตรงปลายดอก ดอกแยกออกเป็น 6 กลีบ เมื่อบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 6-8 ซม. และจะทยอยกันบานทีละ 4 ดอก จึงนิยมเรียกกันว่า "ว่านสี่ทิศ"
การปลูก
ควรปลูกในดินปนทราย ให้น้ำ และความชื้นปานกลาง ว่านสี่ทิศเป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบแสงแดดมาก จึงควรต้องปลูกในที่แจ้ง จึงจะเจริญเติบโตและมีดอกได้ดี
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยแยกหน่อ หรือแยกหัวไปปลูกใหม่
ความเป็นมงคล
เชื่อกันว่าถ้าเลี้ยงว่านสี่ทิศให้ออกดอกพร้อมกันได้ทั้งสี่ดอกหรือสี่ทิศผู้เลี้ยงจะมีโชคลาภ และหากว่าในช่วงที่ว่านสี่ทิศกำลังออกดอกทั้งสี่อยู่นั้น ผู้เลี้ยงคิดจะทำอะไร ก็จะประสบความสำเร็จทุกประการ แต่ถ้าหากว่า ว่านสี่ทิศออกดอกไม่ครบทั้งสี่ดอก หรือออกดอกแค่ 2 หรือ 3 ดอก ก็จะไม่เป็นผลดีแก่ผู้เลี้ยงเหมือนเป็นลางบอกเหตุว่าจะมีสิ่งไม่ดีเกิดแก่ผู้เลี้ยง
#5
กล้วยไม้ / กุหลาบกระเป๋าเปิด รหัส 7-34190-001-486
22 มิถุนายน 2013, 10:40:24 ก่อนเที่ยง
เอื้องกุหลาบกระเป๋าเปิด

ชื่อสามัญ : เอื้องกุหลาบกระเป๋าเปิด
ชื่อท้องถิ่น : เอื้องกุหลาบหลวง, เอื้องกุหลาบป่า
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aerides falcata Lindl.
ลักษณะ ลำต้น : ยอดเลื้อยทอดทรงโปร่ง ลำต้นส่วนที่ใบร่วงแล้วจะห้อยลง ส่วนยอดจะตั้งขึ้น ลำต้นเป็นข้อปล้อง สามารถแตกเป็นยอดใหม่ได้ ทำให้มีเป็นกล้วยไม้ที่มีกอขนาดใหญ่
ลักษณะใบ : ใบมีความกว้าง ๓ - ๔ เซนติเมตร ยาว ๒๐ - ๓๐ เซนติเมตร ใบแบนหนา ผิวเรียบเป็นมัน ปลายใบยาวเรียว
ลักษณะ ดอก : จะออกดอกระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม ดอกออกเป็นช่อๆละ ๒๐ - ๓๐ ดอก ดอกมีขนาด ๒ - ๓ เซนติเมตร ช่อดอกมีความยาวประมาณ ๒๐ - ๓๐ เซนติเมตร แต่ละช่อดอกจะบานพร้อมกันและช่อจะห้อยลง พื้นกลีบดอกสีขาว ที่ปลายกลีบดอกมีสีชมพูถึงม่วง

แหล่งที่พบในไทย : อิงอาศัยตามต้นไม้ พบที่ระดับความสูง ๓๐๐ - ๑๐๐๐ เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=barongong&month=15-06-2008&group=21&gblog=5
ชื่อวิทยาศาสตร์:    Aerides odorata   Lour. 
ตระกูล:    ORCHIDACEAE 
ชื่อพื้นเมือง:    กุหลาบกระเป๋าปิด กุหลาบขาว, เอื้องเปา, เป็ดน้อย, ม้าหมุย
ลักษณะทั่วไป:
    ต้น    มี 2 แบบ คือแบบโปร่ง ลำต้นจะบิดเป็นเกลียวเล็กน้อย และต้นห้อยย้อยลงแต่ละต้นมักแตกแขนงเป็นหลายยอด ต้นอาจยาวถึง 1 เมตรครึ่ง และแบบลำต้นหนาแข็ง
    ใบ    กว้างประมาณ 2.5 ซม. ยาวประมาณ 20-30 ซม. มี 2 แบบตามลักษณะลำต้น คือลำต้นแบบแรกใบจะมีลักษณะแบนและปลายบิด (ภาคใต้) ส่วนลำต้นแบบที่สองใบจะหนาสั้น อวบน้ำ ปลายใบมนเป็นแฉกไม่เท่ากัน (ภาคเหนือ)
    ดอก    เป็นช่อดอกยาวประมาณ 40 เซนติเมตร และห้อยลง แต่ละช่อมีประมาณ 30 ดอก แต่ละดอกกว้างประมาณ 3 เซนติเมตร ช่อเอนในแนวระนาบหรือห้อยลงเล็กน้อยดอกในช่อมีจำนวนมากกลีบดอกหนาและเป็นมัน คล้ายเทียนไขพื้นดอกสีขาวทั้งสองแบบปลายกลีบเป็นสีม่วงอมแดงอ่อน ๆ ส่วนปลาบปากเป็นสีม่วง มีเดือยดอกค่อนข้างเรียวโค้งยื่นออกมา ทางด้านหน้า บานนานประมาณ 2 สัปดาห์
    ราก    เป็นแบบรากอากาศ (epiphytic)   
ฤดูกาลออกดอก:    เมษายน – พฤษภาคม   
ส่วนที่มีกลิ่นหอม:    ดอก
การใช้ประโยชน์:    ไม้ประดับ
ถิ่นกำเนิด:    ไทย เนปาล อินเดีย ภูฐาน ลาว มาเลเซีย เวียดนาม เมียนม่าร์ และ ฟิลิปปินส์
แหล่งที่พบ:    พบตามป่าดิบเกือบทุกภาค ยกเว้นตะวันออกเฉียงใต้
*กุหลาบ กระเป๋าปิดจากภาคเหนือจะมีโครโมโซมมากกว่าปกติเป็น 2 เท่า ในทางพันธุศาสตร์เรียกพวกนี้ว่า เตตราพลอยด์ (tetraploid-4N) ส่วนพวกที่มีโครโมโซมจำนวนปกติเช่นที่พบทางภาคใต้ เรียกว่า ดิพลอยด์ (diploid-2N)