• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่เว็บไซต์งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนวารินชำราบ

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - ภานุวัฒน์ ทองทา

#1
ไม้รอเลื้อย / บุหงาแต่งงาน รหัส 7-34190-001-515
22 มิถุนายน 2013, 11:02:59 ก่อนเที่ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์(Scientific Name ):Friesodielsia sp.
ชื่อวงศ์ ( Family Name ):ANNONACEAE
ลักษณะทั่วไป
      ไม้พุ่มรอเลื้อย ลำต้นเลื้อยไปได้ไกล 4-6 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเข้ม เนื้อไม้เหนียว
          ใบ   เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับสองด้านในระนาบเดียวกันของกิ่ง ใบรูปหอกกลับแกมขอบขนาน กว้าง 4-8 เซนติเมตร  ยาว 8-15 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ หลังใบมีขนสาก
          จุดเด่นของดอก        เป็นดอกเดี่ยวสีเหลือง ออกตามลำต้น กิ่ง หรือซอกใบ กลีบดอกมี 6 กลีบ
เรียงเป็นสองชั้น  ชั้นละ 3 กลีบ กลีบชั้นในเรียงอัดเป็นรูปสามเหลี่ยม กลีบชั้นนอกรูปขอบขนาน กวา้ง 0.5-1 เซนติเมตร ยาว 4-6 เซนติเมตร   กลีบบิดเล็กน้อย เรียงตัวอยู่เป็นสามด้าน ขณะเป็นดอกอ่อนมี
สีเขียว เมื่อดอกบานกลีบดอกชั้นนอกกางออกมีสีเหลือง  ส่วนกลีบดอกชั้นในมีสีส้มหรือสีน้ำตาลอมส้ม
ส่งกลิ่นหอมตั้งแต่ช่วงบ่ายและหอมมากในช่วงพลบค่ำ หากเก็บดอกไว้ในที่อับ  อากาศจะมีกลิ่นหอม
รุนแรงมาก ออกดอกตลอดปี
          ผล   เป็นกลุ่ม มี 8-12 ผล รูปทรงกระบอก ยาว 1.5-2 เซนติเมตร แต่ละผลมี 1-2 เมล็ด ผลอ่อน
สีเขียว เมื่อแก่มีสีแดงผลแก่ตลอดปี
การขยายพันธุ์และปลูกเลี้ยง
      ขยายพันธุ์โดยเพาะเมล็ดและตอนกิ่ง การเพาะเมล็ดควรเลือกผลที่แก่เป็นสีแดง ใช้เวลาเพาะเมล็ด
หนึ่งเดือน ก็เริ่มงอก ในช่วงแรกต้นกล้าเจริญเติบโตช้ามาก ต้องบำรุงรักษาเป็นเวลาสามปีจึงออกดอก
ควรใช้วิธีการตอนกิ่ง ซึ่งใช้เวลาตอนประมาณสองเดือนจึงออกราก เหมาะลงแปลงกลางแจ้ง จะมีลักษณะ
เป็นพุ่มได้ดี หากปลูกในที่ร่มรำไรจะแตกกิ่งยืดยาว ชอบดินที่ชุ่มชื้นและระบายน้ำดี
การใช้ประโยชน์
       ปลูกเป็นไม้พุ่มประดับ มีดอกดกและดอกหอม
#2
ไม้ต้น / สมอพิเภก รหัส 7-34190-001-514
22 มิถุนายน 2013, 11:01:04 ก่อนเที่ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Terminalia bellirica  (Gaertn.) Roxb.
ชื่อสามัญ :    Beleric myrobalan
วงศ์ :   Combretaceae
ชื่ออื่น :  ลัน (เชียงราย) สมอแหน (กลาง) แหน แหนขาว แหนต้น (เหนือ) สะคู้ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ซิบะดู่ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ สูง 15-35 เมตร ลำต้นเปลาตรง โคนต้นมักเป็นพูพอน เปลือกสีเทาอมน้ำตาลหรือเป็นสีดำๆ ด่างๆ เป็นแห่งๆ ค่อนข้างเรียบหรือแตกเป็นร่องเล็กๆ ไปตามยาวลำต้น เปลือกในสีเหลือง เรือนยอดกลมแผ่กว้างและค่อนข้างทึบ กิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนประปราย ใบ เป็นชนิดใบเดี่ยว ติดเวียนกันเป็นกลุ่มตามปลายๆ กิ่ง ทรงใบรูปรีแกมรูปไข่กลับ กว้าง 9-15 ซม. ยาว 13-19 ซม. โคนใบสอบมาสู่ก้านใบ ส่วนที่ค่อนไปทางปลายใบผายกว้าง ปลายสุดจะหยัดคอดเป็นติ่งแหลมสั้นๆ เส้นแขนงใบโค้งอ่อน มี 6-10 คู่ เส้นใบแบบเส้นร่างแหเห็นชัดทางด้านท้องใบ เนื้อใบค่อนข้างหนา หลังใบเขียวเข้มและมีขนสีน้ำตาลกระจายทั่วไป ท้องใบสีจางหรือสีเทามีขนนุ่มๆ คลุม แต่ทั้งสองด้านขนจะหลุดร่วงไปเมื่อใบแก่จัด ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว 4-6 ซม. บริเวณกึ่งกลางก้านจะมีต่อมหรือตุ่มหูด หนึ่งคู่ ดอก เล็ก สีขาวอมเหลือง ออกเป็นช่อเดี่ยวๆ แบบหางกระรอก ที่ง่ามใบหรือรอยแผลใบตามกิ่ง ปลายช่อจะห้อยย้อยลง ช่อยาว 10-15 ซม. ดอกเพศผู้ส่วนใหญ่จะอยู่ตามปลายๆ ช่อ ส่วนดอกสมบูรณ์เพศจะอยู่ตามโคนช่อ กลีบฐานดอก มี 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วยเล็กๆ ทั้งหมดมีขนทั่วไป เกสรเพศผู้มี 10 อัน เรียงซ้อนกันอยู่สองแถว รังไข่ ค่อนข้างแป้น ภายในมีช่องเดียวและมีไข่อ่อน 2 หน่วย หลอดท่อรังไข่มีหลอดเดียว ผล กลมหรือกลมรีๆ แข็ง ผิวนอกปกคลุมด้วยขนสีน้ำตาลหนาแน่น ออกรวมกันเป็นพวงโตๆ
ส่วนที่ใช้ : ผลอ่อน ผลแก่ เมล็ดใน ใบ ดอก เปลือก แก่น ราก
สรรพคุณ :
•   ผลอ่อน - มีรสเปรี้ยว แก้ไข้ แก้ลม เป็นยาระบาย ยาถ่าย
•   ผลแก่ - มีรสฝาด แก้โรคในตา บำรุงธาตุ แก้ไข้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก เป็นยาแก้ท้องร่วง ท้องเดิน
•   เมล็ดใน - แก้บิด บิดมูกเลือด
•   ใบ - แก้บาดแผล
•   ดอก - แก้โรคในตา
•   เปลือกต้น - ต้มขับปัสสาวะ
•   แก่น - แก้ริดสีดวงพรวก
•   ราก - แก้โลหิต อันทำให้ร้อน
ขนาดและปริมาณที่ใช้ :
•   ขับปัสสาวะ - ใช้เปลือก ต้น ต้มรับประทาน ขับปัสสาวะ
•   เป็นยาระบาย ยาถ่าย - ใช้ผลโตแต่ยังไม่แก่ 2-3 ผล ต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว ใส่เกลือเล็กน้อย รับประทานครั้งเดียว
•   เป็นยาแก้ท้องร่วง ท้องเดิน (ไม่ใช่บิด หรือ อหิวาตกโรค)  - ใช้ผลแก่ 2-3 ผล ต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว ใส่เกลือเล็กน้อย เคี่ยวจนเหลือ 1 ถ้วยแก้ว ใช้รับประทาน
#3
ไม้พุ่ม / เข็มขาว รหัส 7-34190-001-513
22 มิถุนายน 2013, 10:59:21 ก่อนเที่ยง
ชื่ออื่นๆ   เข็มขาว  เข็มหอม
ชื่อสามัญ : Siamese white ixora
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ixora finlaysoniana Wall. ex. G. Don.
วงศ์ :  Rubiaceae
ถิ่นกำเนิด :เป็นพันธุ์ไม้หอมพื้นเมืองแถบอเมริกาใต้
ลักษณะทั่วไป :ไม้พุ่มเตี้ย ทรงพุ่มกลม
ฤดูการออกดอก :ออกดอกตลอดปี
เวลาที่ดอกหอม :หอมตลอดวัน
การขยายพันธุ์ :การตอน ใช้เวลาในการตอน ประมาณ 30 วัน ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมน
การขุดต้นอ่อน ที่แตกขึ้นมาใหม่บริเวณโคนต้นก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ง่าย (พบในต้นที่ปลูกลงพื้นที่แล้วอย่างน้อย 2 - 3 ปีขึ้นไป
ข้อดีของพันธุ์ไม้ :ดอกทยอยบาน ออกดอกตลอดปี
การปลูกและดูแลรักษาง่าย ทนทานต่อสภาพแวดล้อม   
หาง่าย ราคาต้นพันธุ์ถูก
#4
ไม้พุ่ม / บุหงาส่าหรี รหัส 7-34190-001-512
22 มิถุนายน 2013, 10:56:42 ก่อนเที่ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Citharexylum spinosum. L.
ชื่อวงศ์ : Verbenaceae  หรือ Labiatac (Lamiaceac)
ชื่อสามัญ : Common lime
ชื่อพื้นเมือง : บุหงาบาหลี
ถิ่นกำเนิด : หมู่เกาะบาร์บาโดส
ประโยชน์ : -
ลักษณะทรงพุ่ม : ทรงพุ่มเป็นทรงกระบอก และมีการแตกกิ่งก้านสาขามากบริเวณโคนต้น
ลักษณะทั่วไป : ไม้พุ่มขนาดกลาง
ฤดูการออกดอก : ออกดอกตลอดปี
เวลาที่ดอกหอม : หอมตลอดวัน (หอมมากช่วงเย็นถึงเช้า)
การขยายพันธุ์ : การตอน  กิ่งค่อนข้างเปราะ ต้องระวังกิ่งหักภายหลังการตอน การปักชำ  นิยมปักชำกิ่งที่มียอดอ่อน
ข้อแนะนำ : บุหงาส่าหรีเป็นพันธุ์ไม้ที่มีความต้องการน้ำไม่มากแต่ต้องการบ่อยครั้ง เมื่อปลูกไปหลายๆ ปีควรมีการตัดแต่งครั้งใหญ่ๆ (ทำสาว) สักครั้งหนึ่ง จะช่วยให้ขนาดของใบและดอกดีขึ้นการสังเกตว่าปริมาณน้ำที่ต้นบุหงาส่าหรีได้รับเพียงพอหรือไม่ สังเกตได้จากสีของใบจะมีสีค่อนข้างเหลือง แสดงว่าขาดน้ำ บุหงาส่าหรีมักมีการออกดอกบริเวณที่เป็นกิ่งอ่อน


#5
ไม้ล้มลุก / ผักคราด รหัส 7-34190-001-511
22 มิถุนายน 2013, 10:55:12 ก่อนเที่ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์   Spilanthes acmella  Murr.
วงศ์    COMPOSITAE
ชื่อสามัญ   Tooth – ache Plant
ชื่ออื่น    ผักคราดหัวแหวน ผักตุ้มหู ผักเผ็ด อึ้งฮวยเกี้ย (จีน)
ประเภทไม้   ไม้ล้มลุก
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น  เป็นพืชล้มลุกลำต้นสูง 20 – 30 ซม. หรือทอดไปตามดินเล็กน้อยแต่ปลายชูขึ้น ลำต้นกลมอวบน้ำมีสีเขียวม่วงแดงปนเข้ม ลำต้นอ่อนมีขนปกคลุมเล็กน้อย สามารถออกรากตามข้อของต้น
     ใบ  ใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันรูปสามเหลี่ยมขอบใบหยัก ก้านใบยาว ผิวใบสากมีขนใบกว้าง 3 – 4 ซม. ยาว 3 – 6 ซม.
     ดอก  ดอกออกตามซอกใบและปลายกิ่ง เป็นช่อกระจุกสีเหลืองลักษณะกลม ปลายแหลมคล้ายหัวแหวน ก้านดอกยาว ดอกย่อยมี 2 วง วงนอก
เป็นตัวเมีย วงในเป็นดอกสมบูรณ์เพศ


ผล   ผลแห้งเป็นรูปไข่
แหล่งที่พบ   พบขึ้นในป่าธรรมชาติป่าละเมาะโดยขึ้นประกบกับต้นไม้อื่น หรือพบตามสวน ริมคลองหรือร่องน้ำ ใต้ร่มไม้
ประโยชน์และความสำคัญ  ดอกรสเผ็ดชาลิ้น ใบรสหวานๆ ขมๆ ชาลิ้น ขมเย็นๆ เคี้ยวแก้ปวดฟันเป็นยาชา ผักคราดรสเผ็ดร้อนช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับลม ช่วยย่อยอาหารได้
http://pineapple-eyes.snru.ac.th/animal/pupan/index.php?q=node/104

ผักคราด เป็นชื่อไม้ล้มลุกประเภทใบเดี่ยวที่มีอายุปีเดียวชนิดหนึ่งที่อยู่ในวงศ์ Compositae โดยมีชื่อสามัญว่า Para cress ส่วนลักษณะของไม้ล้มลุกชนิดนี้เป็นไม้ที่มีลำต้นตั้งตรงสูงหรือไม่ก็มักจะทอดเลื้อยตามพื้นดินเล็กน้อยแต่ส่วนของปลายยอดตั้งตรง มีลำต้นที่มีสีเขียวปนกับสีม่วงแดงมีขนอ่อนๆ มีใบเดี่ยวที่มีขอบใบหยัก ดอกมีขนาดเล็กเป็นกระจุกสีเหลืองคล้ายกับหัวแหวน ผักคราดนี้เป็นผักที่สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้และทั้งยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านยาสมุนไพรได้อีกด้วย
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%94

ผักคราด ผักยาน่ารู้
สมัยก่อน คนในชนบทมักป่วยเป็นโรคใกล้ตัวชนิดที่ไม่อันตรายกันมาก เช่น โรคปวดฟัน ปวดเหงือก เป็นไข้ตัวร้อน หรือ โรคริดสีดวง เป็นต้น ซึ่งในยุคนั้น แพทย์แผนไทย คือที่พึ่งของชาวบ้าน ไม่ได้ไปหาหมอหรือแพทย์ที่ไหน ส่วนใหญ่จะเป็นพระสงฆ์ตามวัด และหมอยาพื้นบ้านที่มีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร เป็นคนเจียดยาให้ เมื่อทำใช้ หรือกินแล้ว ได้ผลดีเหลือเชื่อ ซึ่ง "ผักคราด" จัดอยู่ในพืชผักกิน ได้ชนิดหนึ่ง ที่มีสรรพคุณทางยา ใช้รักษาโรคที่กล่าวข้างต้นเด็ดขาดนัก
สมัยก่อน ถ้าเด็กคนไหนเป็นไข้ตัวร้อน ให้เอา "ผักคราด" ทั้งต้น ตำละเอียด ผสมขมิ้น สัดส่วนเท่ากันตามต้องการ ใส่เกลือสะตุเอา สำลีชุบเฉพาะนำกวาดคอเด็ก อาการไข้ตัวร้อน จะทุเลาลง นอกจากนั้น ทั้งต้นตำผสมเหล้าขาว 40 ดีกรี หรือฝนกับน้ำส้มสายชูอมกลืนทีละนิดแก้ต่อมน้ำลายอักเสบ แก้ฝีในคอ ไข้คอตัน แก้ปวดเหงือก ปวดฟันได้ ใบสด รส เผ็ดร้อน ปร่า เคี้ยวสดๆแก้ปวดฟันใช้ แทนยาชาได้เช่นกัน ชาวจีนใช้ทั้งต้นสกัดเป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร และแก้ผอมเหลือง ทำให้ร่างกายแข็งแรงดีมาก
ผักคราด หรือ SPILANTHES ACMELLA MURR. อยู่ในวงศ์ COMPOSITAE เป็นไม้ล้มลุก ดอกสีเหลือง ลักษณะคล้ายหัวแหวน จึงถูกเรียก อีกชื่อว่า ผักคราดหัวแหวน มีขายตามตลาดสดทั่วไป มีชื่อเรียกอีก คือ ผักตุ้มหู หญ้าตุ้มหู ผักเผ็ด และ อึงฮวยเกี้ย (จีนแต้จิ๋ว) นิยมรับประทานแพร่หลายทางภาคเหนือ ภาคอีสาน โดย ใบกินสด กับป่น แจ่ว ซุบ ใส่แกงหน่อไม้ แกงอ่อม ใช้ดับกลิ่นคาวดีมาก รสชาติเผ็ดชา ใบรสหวานขมปร่าลิ้น



ชื่อ"ผักคราด"
วงศ์ "COMPOSITAE"
ชื่อวิทยาศาสตร์ "Spilanthes acmella Murr."
ชื่อพื้นบ้าน "ผักคราด ผักคราดหัวแหวน (กลาง) ผักตุ้มหู หญ้าต้มหู ผักเผ็ด (เหนือ)ฮึ้งฮวยเกี้ย (จีนแต้จิ๋ว)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ผักคราดเป็นไม้ที่ชอบขึ้นที่ลุ่มและมีความชุ่มชื้น พบขึ้นในป่าธรรมชาติป่าละเมาะโดยขึ้นประกบกับต้นไม้อื่น หรือพบตามสวน ริมคลองหรือร่องน้ำ ใต้ร่มไม้ ผักคราดเป็นไม้ล้มลุก ลำต้นตั้งตรงสูง 20-50 ซม. หรือลำต้นทอดตามดินเล็กน้อย แต่ปลายชูขึ้นลำต้นแก่จะมีรากงอกออกมาลำต้นค่อน ข้างกลม อวบน้ำ สีเขียว อาจมีสีม่วงแดงปนเขียว ต้นอ่อนมีขนปกคลุมเล็กน้อย ใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน รูปร่างสามเหลี่ยมขอบใบหยักฟันเลื่อย ก้านใบยาว ผิวใบสากและมีขน ใบกว้าง 3-4 ซม. ยาว 3-6 ซม. ดอกออกเป็นช่อตามขอบใบและปลายกิ่งดอกย่อยจะเรียงอัดกันแน่นเป็นกระจุกสีเหลือง เป็นลักษณะกลม ปลายแหลมคล้ายหัวแหวน ดอกย่อย 2 วง วงนอกเป็นดอกตัวเมีย วงในเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ผลเป็นผลแห้งรูปไข่
การปลูก
ผักคราดขยายพันธุ์ได้โยาการเพาะเมล็ด
ประโยชน์ทางยา
ในตำราการแพทย์แผนไทยบันทึกว่า ผักคราดมีรสเอียนเฝื่อนเล็กน้อย สรรพคุณแก้พิษตามทวาร แก้ริดสีดวง บางตำรากล่าวว่า ผักคราดมีรสเผ็ดร้อน สรรพคุณแก้ผอมเหลือง แก้เด็กตัวร้อน
- ต้นสดของผักคราดตำผสมเหล้าหรือน้ำส้มสายชู และใช้แก้ฝีในลำคอ ต่อมน้ำลายอักเสบ แก้ไข้ แก้ปวดฟัน ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่า ช่อดอก และก้านดอกมีสาร Spilanthol มีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ และสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์เปรียบเทียบกับยาชา Lidocaine จะออกผลเร็วกว่า แต่ระยะการออกฤทธิ์สั้นกว่า และพบว่ามีฤทธิ์ชาเฉพาะที่ในสัตว์ทดลองและคนปกติผักคราดเป็นสมุนไพรที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็น ยาชารักษาอาการปวดฟัน
ประโยชน์ทางอาหาร
ส่วนที่ใช้เป็นผัก/ฤดูกาล ยอดอ่อนใบอ่อนและดอกอ่อนรับประทานเป็นผักได้เจริญเติบโต ได้ดีตลอดปีและออกยอดมากในฤดูฝน
การปรุงอาหาร ชาวเหนือ ชาวอีสาน รับประทานผักคราดเป็นผักโดยยอดอ่อนใบอ่อนรับประทาน เป็นผักสดแกล้มกับน้ำพริกลาบ ก้อย แกง และผักคราดนำไปปรุงเป็นอาหารได้ ชาวเหนือนำผักคราด ไปแกงแค ชาวอีสาน นำผักคราดไปใส่กับอ่อมปลาอ่อมกบ และชาวใต้นำยอดอ่อนของผักคราดไปแกงร่วมกับ หอยและปลา ทำให้รสชาติและกลิ่นของอาหารน่ารับประทานมากขึ้น
รสและประโยชน์ต่อสุขภาพ
รสเผ็ดร้อน ผักคราดช่วยเจริญอาหารและรสเผ็ดช่วยขับลม ย่อยอาหารได้