• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

พืชพรรณต่างๆ มีภาพประกอบ และจัดเป็นหมวดหมู่ตามลักษณะวิสัย ค้นหาได้ง่าย

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - อธิเบศน์ สำราญ

#1
ไม้ล้มลุก / ว่านกาบหอย รหัส 7-34190-001-145
22 มิถุนายน 2013, 11:41:35 ก่อนเที่ยง
ว่านกาบหอย รหัส 7-34190-001-145
ชื่อสามัญ              Boat-lily, Oyster Lily, Oyster Plant, White-flowered Tradescantia
ชื่อวิทยาศาสตร์     Tradescantia spathacea Swartz
ตระกูล                 -
วงศ์                    COMMELINACEAE
ถิ่นกำเนิด             แถบเม็กซิโก คิวบา และอเมริกากลาง
ชื่ออื่นๆ                ว่านกาบหอย, ว่านแสงอาทิตย์, หญ้าหมื่นปี, อั้งเต้ก (จีน)
ลักษณะโดยทั่วไป
ไม้ล้มลุก สูง 20-60 ซม. ลำต้นอวบใหญ่ ใบเดี่ยว เรียงซ้อนเป็นวงรอบ รูปใบหอก ปลายแหลม โคนตัดและโอบลำต้น ขอบเรียบ แผ่นใบหนา ด้านบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีม่วงแดง ช่อดอกออกตามง่ามใบ มีทั้งช่อเดี่ยวและหลายช่อ แต่ละช่อประกอบด้วยใบประดับที่เป็นกาบ 2 กาบ สีม่วงแซมเขียว โคนกาบทั้งสองประกบเกยซ้อนและโอบหุ้มดอกสีขาวขนาดเล็กที่อยู่รวมกันเป็นกระจุก กลีบเลี้ยง 3 กลีบ สีขาว รูปไข่แกมรูปขอบขนาน บางใส กลีบดอก 3 กลีบ สีขาว รูปไข่ แผ่นกลีบหนา เกสรเพศผู้ 6 อัน รังไข่ผนังเรียบ ภายในมี 3 ช่อง ผลเล็ก รูปรี เมล็ดเล็ก

ประโยชน์   
             นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ใช้เป็นยาแผนโบราณ ไทยใช้แก้ไอ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ และฟกช้ำ (โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพนฯ, 2521 ) จีนใช้ดอกแก้อาการตกเลือดในลำไส้ แก้บิด และแก้ไอ ในไต้หวันใช้พอกแผล มีดบาด และแก้บวม
สรรพคุณ :
•   แก้ไอ เจ็บคอ กระหายน้ำ และแก้อาการฟกช้ำภายใน โดยใช้ใบต้มกับน้ำ เอาน้ำดื่ม
ประโยชน์: ใช้เป็นยาแผนโบราณ ไทยใช้แก้ไอ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ และฟกช้ำ จีนใช้ดอกแก้อาการตกเลือดในลำไส้ แก้บิด และแก้ไอ ในไต้หวันใช้พอกแผล มีดบาด และแก้บวม
#2
ไม้เลื้อย / เล็บมือนาง รหัส 7-34190-001-144
22 มิถุนายน 2013, 11:39:02 ก่อนเที่ยง
เล็บมือนาง รหัส 7-34190-001-144   
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Quisqualis indica L.
ชื่อวงศ์ : Combretaceae
ชื่อสามัญ : Rangoon creeper, Drunken sailor
ชื่อพื้นเมือง : จ๊ามั่ง จะมั่ง
ลักษณะทั่วไป (Characteristic) :   ไม้เถาเลื้อย  เนื้อแข็ง อายุหลายปี เลื้อยได้ไกลมากกว่า 10 เมตร กิ่งอ่อนนุ่ม กิ่งแก่มีหนาม ทรงพุ่มแน่นทึบ
ใบ (Foliage) :   ใบเดี่ยว    เรียงตรงข้าม   รูปรีถึงรูปรีแกมรูปขอบขนาน  กว้าง 7-9 เซนติเมตร  ยาว 15-18 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ
ดอก (Flower) :   สีขาว  เมื่อใกล้โรยเปลี่ยนเป็นสีชมพูและสีแดง  มีกลิ่นหอมแรงในช่วงค่ำถึงเช้า  ออกเป็นช่อ
แบบช่อแยกแขนงห้อยลงตามซอกใบที่ปลายกิ่ง ช่อละ10-20 ดอก ทยอยบานครั้งละ 3-6 ดอกต่อช่อ กลีบเลี้ยงสีเขียว โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว มีทั้งดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน กลีบดอก 5 กลีบ รูปแถบ ดอกบานเต็มที่กว้าง 1.5-4 เซนติเมตร
ผล (Fruit) : ผลแห้ง เป็นฝัก รูปไข่ สีน้ำตาลเข้ม มี 1 เมล็ด
การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) :     ปลูกประดับเป็นซุ้มหรือรั้ว  ริมทางเดิน   ริมถนนเพราะโตเร็วดอกสวย ให้กลิ่นหอมเย็น โดยเฉพาะในตอนค่ำ ปลูกริมทะเล ทนน้ำท่วมขัง ทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆได้ดี
ประโยชน์ : สมุนไพร ใช้ใบพอกแผลแก้ฝีหนอง ใช้เมล็ดเป็นยาขับพยาธิ
#3
กล้วยไม้ / กะเรกะร่อน รหัส 7-34190-001-143
22 มิถุนายน 2013, 11:35:58 ก่อนเที่ยง
กะเรกะร่อน รหัส 7-34190-001-143 
ชื่อวิทยาศาสตร์  Cymbidium finlaysoianum
วงศ์ : Orchidaceae (วงศ์กล้วยไม้)
สกุล : Cymbidium (สกุลซิมบิเดี้ยม)
ที่มาของชื่อสกุล : ชื่อสกุลนี้มาจากภาษากรีกคำว่า kymbos = boat-shaped (มีรูปทรงเหมือนเรือ) ทั้งนี้เนื่องจากกลีบปากของกล้วยไม้ชนิดนี้มีรูปร่างคล้ายเรือ (ไม่รู้เหมือนกันครับว่าฝรั่งดูยังไงถึงได้เหมือนเรือ )
ถิ่นกำเนิด : กล้วยไม้สกุล Cymbidium พบตั้งแต่ประเทศอินเดีย ,แถบเชิงเขาหิมาลัย ,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ,จีน ,ไต้หวัน ,ญี่ปุ่น ,อินโดนีเซีย ,ตอนเหนือของออสเตรเลีย
กล้วยไม้สกุล Cymbidium นี้มีอยู่ด้วยกันประมาณ 44 ชนิด แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆได้คือ
- พวกที่ขึ้นเกาะอาศัยตามต้นไม้ กลุ่มนี้มีดอกขนาดเล็ก สีสันไม่ค่อยสะดุดตา ช่อดอกห้อยลง ใบหนาและแข็ง ทนต่ออากาศร้อนได้ดี เพราะขึ้นอยู่ตามพื้นราบสูงจากระดับน้ำทะเลไม่มากนัก เช่น กะเรกะร่อน ซึ่งพบขึ้นเกาะตามต้นตาลแถบจังหวัดเพชรบุรี
- พวกที่ขึ้นอยู่ตามพื้นดิน กลุ่มนี้มีดอกขนาดใหญ่สะดุดตา ช่อดอกตั้งขึ้น ใบเรียวยาว เนื้อใบบางกว่าพวกแรก ดูเหมือนใบตะไคร้ใบหญ้า ไม่ทนต่ออากาศร้อน แต่ชอบอากาศเย็น เพราะขึ้นอยู่ตามดอยสูง ฝรั่งนำเอาซิมบิเดี้ยมกลุ่มนี้ไปผสมพันธุ์จนได้ลูกผสมสวยงาม ดอกใหญ่ จำนวนมาก ใช้เป็นไม้ตัดดอกและปลูกดูดอก กลุ่มนี้เช่น เอื้องสำเภางาม ที่พบแถบภูหลวง ภูกระดึง เป็นต้น
•   ลักษณะพิเศษ
#4
ไม้ล้มลุก / กระเพา รหัส 7-34190-001-142
22 มิถุนายน 2013, 11:32:01 ก่อนเที่ยง
กระเพา รหัส 7-34190-001-142
ชื่ออื่นๆ :  กระเพาแดง กระเพาขาว ก่ำก้อขาว ก่ำก้อดำ กอมก้อ ขาว กอมก้อดำ ห่อตูปลู ห่อกวอซู
ชื่อสามัญ :  Ocimum
ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Ocimum sanctum Linn.
วงศ์ :  LAMIACEAE
ถิ่นกำเนิด :  -
ลักษณะพฤษศาสตร์ :  เป็นไม้ล้มลุกอายุยืน แตกกิ่งก้านสาขามาก สูงประมาณ 30-80 ซม. โคนลำต้นมีเนื้อไม้แข็ง กิ่งอ่อนสีเขียวและมีขน ใบเป็นใบเดี่ยว การเกาะติดของใบบนกิ่งแบบตรงข้ามสลับตั้งฉาก ทรงใบรูปรี ขนาดประมาณ 2.00 X 4.00 ซม. ปลายและโคนใบมนแหลม ขอบใบเป็นจักรและเป็นคลื่นเล็กน้อย ดอกออกเป็นช่อแบบช่อฉัตร ที่ปลายยอด ยาวประมาณ 8-10 ซม. ดอกย่อยมีขนาดเล็ก รูปคล้ายระฆัง กลีบดอกมีทั้งชนิดสีขาวลายม่วงแดงและสีขาว โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นกรวย ส่วนปลายแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนบนแยกเป็น 4 กลีบปลายแหลมเรียว ส่วนล่างมีกลีบเดียวค่อนข้างกลม ผิวกลีบด้านในเกลี้ยง ด้านนอกมีขนตามโคนกลีบ กลีบเลี้ยงสีแดงน้ำตาลแกมม่วง และสีเขียว เนื้อกลีบแข็ง ส่วนโคนเชื่อมติดกันเป็นกรวย ส่วนปลายแยกเป็นกลีบปลายแหลมแบบหนาม ก้านดอกย่อยสีเขียว ยาวประมาณ 0.20 - 0.30 ซม. ผลเป็นแบบแห้งแล้วแตก เมล็ด ขนาดเล็ก รูปไข่สีน้ำตาลดำ
สรรพคุณด้านสมุนไพร :  ใบ บำรุงธาตุไฟ ขับลมแก้ปวดท้อง แก้ลมตานซาง แก้จุกเสียด แก้คลื่นเหียนอาเจียน
เมล็ด เมื่อนำไปแช่น้ำเมล็ดจะพองตัวเป็นเมือกขาว ใช้พอกบริเวณตา เมื่อตามีผง หรือฝุ่นละอองเข้า ผงหรือฝุ่นละอองนั้นก็จะออกมา ซึ่งจะไม่ทำให้ตาเรานั้นช้ำอีกด้วย
ราก ใช้รากที่แห้งแล้ว ชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ

#5
ไม้ต้น / กร่าง รหัส 7-34190-001-141
22 มิถุนายน 2013, 11:28:24 ก่อนเที่ยง
กร่าง รหัส  7-34190-001-141
ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Ficus altissima   Blume
ชื่อพ้อง : F. laccifera  Roxb.
วงศ์ :  MORACEAE
ชื่อสามัญ :  -
ชื่ออื่น :  ไทรทอง (นครศรีธรรมราช) ลุง (เชียงใหม่, ลำปาง) ฮ่างขาว ฮ่างหลวง ฮ่างเฮือก (เชียงราย) ไฮคำ (เพชรบูรณ์)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ แตกกิ่งต่ำ เรือนยอดกว้าง มียางขาว และมีรากอากาศ ส่วนต่างๆ เมื่อยังอ่อนมีขนสั้นประปราย แต่จะร่วงไปในที่สุด ทำให้ลำต้น กิ่ง และใบ เกลี้ยง ยกเว้นด้านนอกของหูใบมีขนอ่อนๆ  ใบ เดี่ยว เรียงเวียนสลับรูปรีหรือรูปไข่แกมรูปขอบขนาน กว้าง 4-10 ซม. ยาว 10-15 ซม. ปลายมนเป็นติ่งแหลมสั้นๆ โคนค่อนข้างมน ขอบเรียบ แผ่นใบหนา เส้นใบออกจากโคนใบ 3-5 เส้น เส้นแขนงใบข้างละ 5-6 เส้น ก้านใบยาว 2.5-3.2 ซม. หูใบรูปใบหอก 2 อัน หุ้มยอดอ่อนไว้ ยาว 2-5 ซม. หนา ด้านนอกมีขนอ่อนๆ ด้านในเกลี้ยง ช่อดอกไม่มีก้าน ออกเป็นรูปคู่ตรงง่ามใบหรือที่ตำแหน่งง่ามใบซึ่งร่วงไปแล้วเมื่อยังอ่อนมีใบใบประดับโค้งหุ้มอยู่ ใบประดับร่วงง่าย ที่โคนช่อดอกยังมีใบประดับขนาดเล็กยาวประมาณ 5 มม. อีก 3 ใบ รองรับช่อดอกและติดอยู่กับผล  โคนเชื่อมกันและมีขนอ่อนนุ่ม ช่อดอกมีรูปร่างคล้ายผล คือมีฐานรองดอกเจริญเปลี่ยนแปลง ขยายใหญ่เป็นเปาะและมีรูเปิดที่ปลาย ดอกแยกเพศอยู่ภายในกระเปาะ ดอกเพศผู้ มีจำนวนมาก แซมอยู่ทั่วไป ด้านดอกยาว 2-3 มม. กลีบรวมชั้นเดียว 4 กลีบ เกสรเพศผู้ 1 อัน ดอกเพศเมียโคนกลีบติดกัน ปลายแยกเป็น 4 แฉก รังไข่มี 1 ช่อง มีออวุล 1 เม็ด และมีดอกเพศเมียไม่สมบูรณ์เพศ อาจมีไข่หรือตัวอ่อนของแมลงอยู่ภายใน (gall-flower) ผลแบบมะเดื่อ (syconium) รูปไข่ยาว 1.5-2.5 ซม. สุกสีเหลือง ส่วนที่เป็นเนื้อของผลคือฐานรองดอกซึ่งเปลี่ยนแปลงไป ภายในประกอบด้วยผลเล็กๆ จำนวนมาก ซึ่งแต่ละผลมีเนื้อบางๆ และมี 1 เมล็ด
ประโยชน์ :  รากอากาศของต้นกร่างเหนียว ใช้ทำเชือกได้ เปลือกชั้นในใช้ทำกระดาษ ต้นใช้เลี้ยงครั่ง