• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่เว็บไซต์งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนวารินชำราบ

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - นางสาวนุชรีย์ เทพภักดี

#1
ไม้พุ่ม / พุดน้ำบุศย์ รหัส 7-34190-001-420
22 มิถุนายน 2013, 15:01:05 หลังเที่ยง
420 พุดน้ำบุศย์
พุดน้ำบุศย์
ชื่ออื่น : ตะบือโก (มลายู นราธิวาส), บาแยมาเดาะ (มลายู นราธิวาส), ระนอ (มลายู ยะลา), ระไน (ยะลา), รักนา (ใต้,ภูเก็ต), รัตนา (ใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Gardenia carinata Wall.
ชื่อสามัญว่า Golden Gardenia
เป็นไม้ดอกหอม ที่อยู่ในสกุล Gardenia
และอยู่ใน วงศ์เข็ม (RUBIACEAE)
ในปัจจุบันจะพบเห็นว่า มีข้อมูลที่พบส่วนใหญ่จะนิยมเขียนชื่ออยู่สองแบบนี้ คือ พุดน้ำบุศย์ และ พุดน้ำบุษย์ จากเดิมที่เคยเข้าใจไปเองว่าน่าจะหมายถึงสีของบุษราคัม แต่หากอ้างอิงตามสำนักหอพรรณไม้ จะใช้ชื่อว่า "พุดน้ำบุศย์" ซึ่งตรงกับในหนังสือไม้ดอกหอม ฉบับปรับปรุงและเพิ่มเติม โดย ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ด้วยเช่นกัน
พุดน้ำบุศย์ เป็นไม้พุ่มดอกหอมขนาด เล็ก แตกกิ่งจำนวนมาก กิ่งเปราะ ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามเป็นคู่ ใบรูปรี ปลายใบเรียวแหลม แผ่นใบค่อนข้างหนา เกลี้ยงเป็นมันทั้งสองด้าน เส้นใบย่อยเห็นเป็นร่องลึกดอกพุดน้ำบุศย์ เป็นดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบใกล้ปลายยอด โคนกลีบดอกเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น 6-9 กลีบ พุดน้ำบุศย์มีดอกสวยและมีกลิ่นหอมแรง โชยกลิ่นได้ตลอดทั้งวัน ออกดอกได้ตลอดทั้งปีครับ ดอกจะบานอยู่ได้ประมาณ 2-3 วันแล้วโรย โดยสีของกลีบดอกพุดน้ำบุศย์จะค่อยๆเปลี่ยนโทนสี จากสีขาวนวลเมื่อเริ่มบาน ไปจนถึงเหลือง และมีสีเหลืองทองจนออกส้มเข้มก่อนจะร่วงโรย
#2
ไม้พุ่ม / เข็มอินเดีย รหัส 7-34190-001-419
22 มิถุนายน 2013, 14:56:54 หลังเที่ยง
419  เข็มอินเดีย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cornus sanguinea
วงศ์ : Cornaceae (The Dogwood Family)
ชื่อสามัญ : Dogwood
ชื่ออื่น ๆ : -
ลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นนพรรณไม้พุ่มเตี้ย มีเนื้ออ่อน ลำต้นอาจสูงราว 18 ฟุต มีขนระคายอยู่ทั่วลำต้นและใบด้วย ลำต้นและกิ่งก้านจะเปราะ
ใบ : เป็นใบไม้ที่ไม่มีใบดก มีใบเป็นสีเขียว ลักษณะของใบคล้าย ๆ กับใบโหระพา คือใบเป็นรูปมนรี ปลายอาจจะแหลม ยาวประมาณ 1.5 ถึง 2 นิ้ว
ดอก : จะออกดอกเป็นช่อ อยู่ตามยอดของต้นเช่นเดียวกับดอกเข็ม ดอกจะมีอยู่ 3 สี คือ สีขาว สีแดง และสีชมพู จะออกดอกตลอดปี
การขยายพันธุ์ : เป็นไม้กลางแจ้ง ขึ้นได้ในดินทุกชนิด มีความชื้นพอประมาณ ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำและตอนกิ่ง
อื่น ๆ : เป็นพรรณไม้ที่มีอยู่มากในอังกฤษ ยุโรป และเอเชีย แต่ในไทยยังไม่ปรากฏ มีผู้นำเข้ามาปลูกในไทยเมื่อปี พ.ศ.2513 – 2514 และได้ทำการขยายพันธุ์แจกให้ประชาชน
จึงเป็นไม้ที่รู้จักกันอย่างรวดเร็ว

#3
ไม้ล้มลุก / แว่นแก้ว รหัส 7-34190-001-418
22 มิถุนายน 2013, 14:50:07 หลังเที่ยง
แว่นแก้ว รหัส 7-34190-001-418
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hydrocotyle umbellata L.
ชื่อวงศ์ : Umbelliferae
ชื่อสามัญ : Water pennywort
ชื่อพื้นเมือง : บัวแก้ว 
ชนิดพืช [Plant Type] : พืชน้ำมีอายุหลายปี 
ขนาด [Size] : สูง 30 เซนติเมตร 
สีดอก [Flower Color] : สีขาว 
ฤดูที่ดอกบาน [Bloom Time] : ตลอดปี 
อัตราการเจริญเติบโต [Growth Rate] : เร็ว 
ลักษณะนิสัย [Habitat] : ชอบดินชื้นแฉะและมีอินทรีย์วัตถุสูง หรือที่ระดับน้ำ 10-15 เซนติเมตร
  ลักษณะ : แว่นแก้วเป็นไม้น้ำมีอายุหลายฤดู ลำต้นเป็นไหลทอดยาวตามพื้นดิน มีข้อปล้อง มีรากและใบงอกตามข้อทุกส่วน มีกลิ่นหอม
ชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะและริมน้ำ พบมากในภาคเหนือ และภาคกลาง
ใบ : เป็นใบเดี่ยว แตกออกสลับข้อละ 1–2 ใบ ก้านใบอวบ ยาว 10–15 ซม. ใบรูปเกือบกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 5–10 ซม. ขอบใบหยักโค้งกว้าง
ดอก : ดอกเป็นดอกช่อแบบอัมเบล เกิดที่ซอกใบมีก้านช่อดอกยาว ดอกมีขนาดเล็ก มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ ผลชนิดแห้งแล้วแตกออกเป็น 2 ซีก เมล็ดมีขนาดเล็ก
การดูแล : -
การขยายพันธุ์ : ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด และแยกต้นอ่อน
ประโยชน์ : ทางด้านอาหาร เป็นผักจิ้มเครื่องหลน หรือเครื่องเคียง คั้นน้ำเป็นน้ำดื่ม, เป็นไม้ประดับในอ่างปลา, ทางด้านสมุนไพร ทั้งต้นใช้แก้ตาแดง ขับปัสสาวะ ซ้ำใน บวม พิษไข้ ท้องอืด ท้องเสีย
ความชื้น [Moisture] : สูง   
แสง [Light] : แดดเต็มวัน
ลักษณะทั่วไป (Characteristic) : ไม้ริมน้ำหรือไม้โผล่เหนือน้ำ อายุหลายปี ลำต้นเป็นไหลกลมยาวเรียว ทอดเลื้อย
ไปตามพื้นดินที่แฉะๆ แตกรากและใบตามข้อ
#4
ไม้พุ่ม / เสลดพังพอนตัวเมีย รหัส 7-34190-001-417
22 มิถุนายน 2013, 14:38:31 หลังเที่ยง
7-34190-001-417
417  เสลดพังพอนตัวเมีย
เสลดพังพอนตัวเมีย (พญาปล้องทองง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Clinacanthus nutans (Burm.f) Lindau.
ชื่อสามัญ :   -
วงศ์ :   ACANTHACEAE
ชื่ออื่น :  ผักมันไก่ ผักลิ้นเขียด (เชียงใหม่) พญาปล้องดำ (ลำปาง) พญาปล้องทอง (ภาคกลาง) ลิ้นมังกร โพะโซ่จาง (กะเหรี่ยง) เสลดพังพอนตัวเมีย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้พุ่มเลื้อย ลำต้นและกิ่งก้านสีเขียว ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวออกตรงข้ามกัน รูปรีแคบขอบขนาน กลีบดอกสีแดงส้ม โคนกลีบดอกติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 2 ส่วน ขึ้นตามป่า หรือปลูกกันตามบ้าน ขยายพันธุ์โดยวิธีปักชำ เสลดพังพอนมีชื่อพ้องกัน คือ เสลดพังพอนตัวผู้ และเสลดพังพอนตัวเมีย แต่ต่างกันที่เสลดพังพอนตัวผู้มีหนาม สรรพคุณอ่อนกว่าเสลดพังพอนตัวเมีย เพื่อไม่ให้สับสนจึงเรียกเสลดพังพอนตัวเมียว่า พญายอ และตำรายาไทยนิยมนำมาทำยา
ส่วนที่ใช้ : ส่วนทั้ง 5  ใบสด  ราก
สรรพคุณ :
•   ส่วนทั้ง 5  -   ใช้ถอนพิษ โดยเฉพาะพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ตะขาบ แมลงป่อง รักษาอาการอักเสบ งูสวัด ลมพิษ แผลน้ำร้อนลวก
•   ใบ - นำมาสกัดทำทิงเจอร์และกรีเซอรีน ใช้รักษาแผลผิวหนังชนิดเริ่ม Herpes และรักษาแผลร้อนในในปาก Apthous ตับพิษร้อน แก้แผลน้ำร้อนลวก
•   ราก  - ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับประจำเดือน แก้ปวดเมื่อยบั้นเอว 
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
•   รักษาอาการอักเสบ ถอนพิษ รักษาแผลร้อนในในปาก เริม งูสวัด
- ใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมียสด 10-20 ใบ (เลือกใบสีเขียวเข้มสดเป็นมันไม่อ่อนไม่แก่จนเกินไป)นำมาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาแผลและเอากากพอกแผล
- ใช้ใบเสลดพังพอน 1,000 กรัม หมักใน alcohol 70 % 1,000 ซีซี. หมักไว้ 7 วัน นำมากรองแล้วเอาไประเหยให้เหลือ 500 ซีซี. เติม glycerine pure ลงไปเท่ากับจำนวนที่ระเหยไป (500 ซีซี.) นำน้ำยาเสลดพังพอนกรีเซอรีนที่ได้ทาแผลเริม งูสวัด แผลร้อนในปาก ถอนพิษต่างๆ
•   ทาบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นผื่นคัน
- ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลดี
•   แก้แผลน้ำร้อนลวก
- ใช้ใบตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้ แผลจะแห้ง
- นำใบมาตำให้ละเอียดผสมกับสุรา ใช้พอกบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี
#5
ไม้พุ่ม / กระดังงาสงขลา รหัส 7-34190-001-416
22 มิถุนายน 2013, 14:32:46 หลังเที่ยง
416 กระดังงาสงขลา
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cananga fruticosa (Craib) Corner
ชื่อวงศ์ :  ANNONACEAE
ชื่อสามัญ : Ka-dang nga- song-khla
ชื่อพื้นเมือง : กระดังงาเบา, ดังงา, กระดังงอ
ถิ่นกำเนิด : ภาคใต้ของประเทศไทย
ประโยชน์ : ดอกใช้บำรุงหัวใจ สกัดน้ำมันหอมระเหย แก้ลมวิงเวียน
ลักษณะทรงพุ่ม : ไม้พุ่มขนาดเล็ก พุ่มโปร่ง
ลักษณะทั่วไป : เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก
ฤดูการออกดอก : ออกดอกตลอดปี
เวลาที่ดอกหอม : หอมอ่อนๆ ตอนเช้าและตอนเย็น
การขยายพันธุ์ : การ ตอนกิ่ง สามารถทำได้แต่ไม่ค่อยนิยม เนื่องจากิ่งเปราะ หักง่าย  การเพาะเมล็ดทำได้ง่ายกว่า การขยายพันธุ์ไม้หอมชนิดนี้ควรใช้ฮอร์โมนช่วยเนื่องจากการออกรากไม่ง่ายนัก ฤดูกาลที่เหมาะสมกับการขยายพันธุ์คือช่วงฤดูฝน ประมาณต้นเดือนมิถุนายน  การ เพาะเมล็ดเป็นที่นิยมกันมาก เพราะสะดวกในการปฏิบัติงานและสามารถทำได้ครั้งละมาก ๆ แต่ก็มีข้อเสียอยู่นิดหนึ่งก็คือ พันธุ์ไม้หอมชนิดนี้ไม่ค่อยติดผลเท่าไรนัก
ข้อแนะนำ : เป็นพันธุ์ไม้หอมที่ต้องการพื้นที่ในการปลูกน้อยแต่ต้องได้รับแสงแดดจัดตลอดวัน   การปลูกในที่มีร่มเงาจะมีผลต่อการติดดอก  กระดังงา สงขลาที่ได้จาการเพาะเมล็ดเมื่อปลูกจะเจริญเติบโตดี แข็งแรง ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดีกว่าต้นที่ได้จาการตอน แต่การออกดอกจะช้ากว่าต้นที่ได้จากการตอน  เป็นพันธุ์ไม้ที่มีความต้องการน้ำค่อนข้างมากตามสภาพการกำเนิด
ข้อมูลอื่นๆ : เนื้อไม้และใบ ทำบุหงา อบร่ำ ทำน้ำหอม  เนื้อไม้ รสขมเฝื่อน ขับปัสสาวะพิการ         ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ  ต้น กิ่ง ก้าน เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ  ดอก บำรุงร่างกาย บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ บำรุงเลือด แก้ไข้ แก้อ่อนเพลีย วิงเวียน จุกเสียด  ราก คุมกำเนิด  ดอกไม้ ชนิดนี้มีสองสีนะครับ คือสีเขียวอ่อน และสีเหลือง ดอกที่มีสีเหลืองจึงจะหอม และที่สำคัญในช่วงกลางวันดอกไม้ชนิดนี้จะไม่ส่งกลิ่นหอมมากนักโดยเฉพาะช่วง เวลาที่อุณหภูมิสูง
#6
ไม้ต้น / ชมพูพันธ์ทิพย์ รหัส 7-3412-001-412
22 มิถุนายน 2013, 14:16:09 หลังเที่ยง
ชมพูพันธ์ทิพย์ รหัส 7-3412-001-412
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tabebuia rosea (Bertol.) DC.
ชื่อวงศ์ : Bignoniaceae
ชื่อสามัญ :    Pind tecoma,   Pink trumpet tree,   Rosy trumpet-tree
ชื่อพื้นเมือง : ชมพูอินเดีย ตาเบบูยา ธรรมบูชา   
ชนิดพืช [Plant Type] : ไม้ต้น   
ขนาด [Size] : สูง 15-25 เมตร   
สีดอก [Flower Color] : สีชมพูอ่อน ชมพูสด ขาว   
ฤดูที่ดอกบาน [Bloom Tiem] : ก.พ.-เม.ย.   
อัตราการเจริญเติบโต [Growth Rate] : โตเร็ว   
ลักษณะนิสัย [Habitat] : ขึ้นได้ในดินทั่วไป     
ความชื้น [Moisture] : ปานกลาง     
แสง [Light] : แดดเต็มวัน
ลักษณะทั่วไป (Characteristic) :  ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ เรือนยอดรูปไข่หรือทรงกลม แผ่กว้าง
เป็นชั้นๆ เปลือกต้นเรียบสีเทาหรือสีน้ำตาล เมื่ออายุมากเปลือกแตกเป็นร่อง กิ่งเปราะหักง่าย
  ใบ (Foliage) :  ใบประกอบรูปนิ้วมือ ใบย่อย 5 ใบ ก้านใบรวมยาว 5-30 เซนติเมตร ก้านใบย่อยยาว 0.5-2.5 เซนติเมตร ใบรูปขอบขนานหรือรูปไข่แกมรูปรี กว้าง 3-7 เซนติเมตร ยาว 7.5-16 เซนติเมตร   ปลายใบแหลม
หรือเรียวแหลม โคนใบมนหรือสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาสีเขียวเข้ม
  ดอก (Flower) : สีชมพูอ่อน ชมพูสดและขาว กลางดอกสีเหลือง ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง   มีดอก-
ย่อยจำนวนมาก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 แฉก คล้ายรูปแตร   ยาว 5-7 เซนติเมตร มักบาน พร้อมกัน ร่วงง่าย ดอกบานเต็มที่กว้าง 5-8 เซนติเมตร
  ผล (Fruit) : ผลแห้งแตก เป็นฝักกลม ยาว 15-30 เซนติเมตร เมื่อแก่แตกเป็น 2 ซีก เมล็ดแบน สีน้ำตาล  มีปีก
การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) :  ทรงพุ่มสวย  ดอกสวยมีสีสัน  ให้ร่มเงา  ปลูกริมถนน ลานจอดรถ
ปลูกเป็นกลุ่มในสนามโล่ง ทนน้ำท่วมชัง แต่กิ่งเปราะไม่เหมาะปลูกใกล้สนามเด็กเล่น ดอกร่วงมาก

#7
ไม้เลื้อย / เดป รหัส 7-34190-001-450
22 มิถุนายน 2013, 14:10:37 หลังเที่ยง
เดป รหัส 7-34190-001-450
ชื่อสามัญ เดฟใบเขียว/เดฟใบด่าง/เดฟใบแตงโม/เดฟใบแอปเปิ้ล
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dischidia ioantha Variegata (เดฟใบด่าง)
ตระกูล/ชื่อวงศ์ Apocynaceae


#8
ไม้พุ่ม / เข็มปัตตาเวีย รหัส 7-34190-001-449
22 มิถุนายน 2013, 14:01:35 หลังเที่ยง
เข็มปัตตาเวีย รหัส 7-34190-001-449
ชื่อพื้นเมือง เข็มปัตตาเวีย
 
ชื่อวิทยาศาสตร์ Iatropha integerrima Iacg

ชื่อวงศ์ Euphor Biaceac

ลักษณะวิสัย ไม้พุ่ม
 
ลักษณะพิเศษ พุ่มเตี้ย ลำต้นสูงใบเล็ก
#9
ไม้ล้มลุก / คว่ำตายหงายเป็น รหัส 7-34190-001-448
22 มิถุนายน 2013, 13:55:36 หลังเที่ยง
คว่ำตายหงายเป็น  รหัส 7-34190-001-448
ชื่อวิทยาศาสตร : Kalanchoe pinnata
เป็นพืชล้มลุก อวบน้ำ ใบเดี่ยว รูปไข่ โคนและปลายมน ขอบใบจักเป็นฟันตื้นๆ เนื้อใบอวบหนา ออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกสีแดงและเขียว ทรงกระบอก ห้อยคว่ำลง ปลายเป็น 4 แฉก ผลเป็นพวง เมล็ดขนาดเล็กในทางสมุนไพร ใช้ใบเผาไฟเล็กน้อย หรือตำพอกแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ฝี ตาปลา ใบตำคั้นน้ำแก้บิด ขับปัสสาวะ โรคไขข้ออักเสบ[1] ใบมีรสเย็นเฝื่อน พอกฝีแก้ปวด น้ำคั้นจากใบผสมการบูร ทาถูนวดแก้เคล็ดขัดยอกคนสมัยก่อนที่นิยมปลูกต้น "คว่ำตายหงายเป็น" หรือบางคนเรียกว่า "ต้นตายใบเป็น" ไว้บริเวณบ้าน ไม่ได้เน้นในความสวยงามเวลามีดอกขึ้นเต็มที่หรอกครับ แต่ส่วนใหญ่ที่ปลูกไว้จะเน้นในเรื่องการทำเป็นยามากกว่า เพราะมีสรรพคุณทางสมุนไพรหลายอย่าง ที่ใช้มากที่สุดคือ ใบ เอามาวางบนศีรษะรักษาอาการปวดหัวได้ ถ้าวางบนหน้าอกรักษาอาการไอ หรือไม่ก็ เอาใบมาเผาไฟเล็กน้อยแล้วมาตำใช้รักษาบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ใช้รักษาตาปลา รักษาโรคหิด และขี้เรื้อน
   "คว่ำตายหงายเป็น" เป็นไม้ล้มลุก อยู่ในวงศ์ : CRASSULACEAE ลำต้นตรงแข็งแรงมาก มีความสูงราว 1 ม. เปลือกเกลี้ยงสีจะออกเทาปนน้ำตาลหรือม่วงเข็ม แตกกิ่งก้านเล็กน้อย
ใบ เป็นใบเดี่ยวกึ่งประกอบ ออกเวียนสลับตามต้นและกิ่ง ใบหนาอมน้ำ รูปทรงรี กว้างราว 3-5. ซม.และยาว 5-15 ซม.โคนใบมน ปลายใบมนเช่นกันแต่จะออกแหลมเล็กน้อย ขอบใบเป็นหยักเหมือนฟันเลื่อย
ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ช่อดอกยาว 8-10 ซม.เวลาบานดอกจะห้อยลง โคนดอกสีแดงปลายดอกจะออกเหลืองเขียว เป็นรูปทรงกระบอก
ผล ออกเป็นพวงมีรูปทรงรี ด้านในมีเมล็ดขนาดเล็ก
ไม้ชนิดนี้ขยายพันธุ์ โดยการใช้เมล็ด หรือใบก็ได้
#10
ไม้เลื้อย / เสาวรส รหัส 7-34190-001-447
22 มิถุนายน 2013, 13:50:03 หลังเที่ยง
เสาวรส รหัส 7-34190-001-447
ชื่อ : เสาวรส, กะทกรก, แพสชั่นฟรุต
ชื่อสามัญ : Granadilla,Purple Granadilla, Passion Fruit
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Passiflora edulis Sims.
วงศ์ : PASSIFLORACEAE

คุณประโยชน์ของเสาวรสมีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ แก้อาการนอนไม่หลับ ลดไขมันในเส้นเลือดและโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ซึ่งสามารถกินได้ทั้งผลสดที่เป็นเนื้อใน รก เปลือก เนื้อส่วนนอกและน้ำคั้น แนะรัฐส่งเสริมการปลูกเป็นผลไม้เศรษฐกิจ
       สำหรับประโยชน์ของเสาวรสเนื้อในหรือรกที่หุ้มเมล็ดของผลเสาวรส ใช้รับประทานสดได้ โดยผ่าผลแล้วเติมน้ำตาลทรายเพียงเล็กน้อย รับประทานได้ทั้งเมล็ด หรือนำไปทำเป็นแยมผลไม้ก็ได้ เปลือก และเนื้อส่วนนอก สามารถนำไปหมักทำเป็นอาหารสัตว์และปุ๋ยหมักได้ รวมทั้งทำน้ำคั้น จากเนื้อซึ่งจะมีกลิ่นหอมและมีกรดมาก ใช้ผสมเป็นเครื่องดื่มหรือใช้ผสมกับน้ำผลไม้ ชนิดอื่น ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ โดยส่วนประกอบทางเคมีของน้ำเสาวรสประกอบด้วย น้ำร้อยละ ๗๖-๘๕ของแข็งที่ละลายได้ประมาณร้อยละ ๑๗.๔ คาร์โบไฮเดรตประมาณร้อยละ ๑๒.๔ กรดอินทรีย์ร้อยละ ๓.๔ และมีแคโรทีนอยด์ สารประกอบไนโตรเจน วิตามินเอ ซี และแร่ธาตุต่างๆ เอนไซม์ รวมทั้งนำไปใช้แต่งกลิ่นและรสชาติของไอศกรีม ขนมเค้ก เยลลี่ เชอร์เบท พาย ลูกกวาด และไวน์
        จากการที่เสาวรสมีวิตามินเอค่อนข้างสูงและสารแคโรทีนอยด์ จึงช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ จากการศึกษาพบว่า วิตามินซีของน้ำเสาวรสจะมีมากกว่าที่พบในมะนาว และพบสาร Albumin homologous protein จากเมล็ด สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ และยังมีสรรพคุณ ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ลดไขมันในเส้นเลือด และโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
#11
ไม้ล้มลุก / คลอรินเรียน่า รหัส 7-34190-001-446
22 มิถุนายน 2013, 13:43:00 หลังเที่ยง
คลอรินเรียน่า รหัส 7-34190-001-446
ชื่อวิทยาศาสตร์ Heliconia spp.
ตระกูล    HELICONIACEAE
ชื่อสามัญ   Heliconia
    เฮลิโคเนีย เป็นสกุลพันธุ์ไม้ที่มีหลายสายพันธ์มีชื่อภาษาไทยต่างๆกัน เช่น ธรรมรักษา ก้ามกุ้ง ก้ามกั้ง สร้อยกัทลี เป็นไม้เขตร้อน ที่นิยมใช้เป็นไม้ตัดดอก ไม้กระถาง และตกแต่งสถานที่ ทั้งในและต่างประเทศมีมากมายหลายพันธุ์ เป็นไม้อวบน้ำยืนต้น มีลำต้นใต้ดิน เรียกว่าเหง้า ส่วนของลำต้นเหนือดินเรียกว่า "ต้นเทียม" (pseudostem) ประกอบด้วยส่วนของลำต้น (stem) และใบเมื่อเจริญเต็มที่ มักมีช่อดอก (infloescemce) แทงออกที่ส่วนกลางของต้นเทียม ลำต้นประกอบด้วยกาบใบ (leaf sheath) วางซ้อนสลับไปมาเฮลิโคเนียมีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกา และหมู่เกาะคาริเบียน โดยชื่อ เฮลิโคเนียนำมาจากชื่อ เฮลิคอน ที่เป็นภูเขาสถิตของเทพธิดา 9 พระองค์ที่เรียกว่า มิวส์ (Muses) ซึ่งมีความงามเป็นอมตะเช่นเดียวกับ เฮลิโคเนียที่มีอายุยืนยาว 
ชนิดและพันธุ์ที่นิยมปลูกเป็นไม้มงล
1. ชิตาคอรัม       : ( H. psittacorum)

2. แคริเบีย        : ( H. coribaea)

3.ซาร์เตซี          : ( H. chartacea)

4. เพนดูล          : ( H. pendula)
ลักษณะทั่วไป
•   ใบ: การเรียงตัวของใบ จะเรียงสลับตรงกันข้ามในระนาบเดียวกัน มีทั้งใบที่คล้ายกล้วย คือมีก้านใบยาว และอยู่ในแนวตั้ง, ใบที่คล้ายขิง คือ มีก้านใบสั้น และใบอยู่ในแนวนอน และใบที่คล้ายพุทธรักษา คือมีก้านใบสั้น หรือยาวไม่มากนัก และใบทุกมุมป้านกับลำต้น
•   ดอก: ดอกเฮลิโคเนียจะออกเป็นช่อ สะดุดตา และมีสีสันสวยงาม ช่อดอกมักแทงออกกลางลำต้นเทียม และเป็นส่วนสุดท้ายของการเจริญ. ช่อดอกอาจตั้ง (upright) หรือห้อย (pendent) แล้วแต่ชนิด ส่วนของช่อดอกจะประกอบด้วย
o   ก้านช่อดอก (peduncle) เป็นส่วนต่อระหว่างโคนใบสุดท้ายกับโคนกลีบประดับกลีบแรก
o   กลีบประดับ (inflorescence bract , cincinal bract) เป็นส่วนที่พัฒนามาจากใบ
o   ก้านต่อระหว่างกลีบประดับ (rachis) ส่วนนี้อาจมีสี และผิวแตกต่างจากกลีบประดับ และอาจตรงหรือคดไปมาได้ (zigzag) แล้วแตชนิด
•   ผล: มีลักษณะคล้ายผลท้อ (drupe) มีเนื้อนุ่ม และมีชั้นหุ้มเมล็ดที่แข็ง. ผลสุกจะมีสีน้ำเงิน ถ้าเป็นชนิดที่พบในทวีปอเมริกา และสีส้มในชนิดที่พบในหมู่เกาะแปซิฟิก
การปลูก
การปลูก วิธีที่นิยมปลูกมี 2 วิธี คือ
1). การปลูกในแปลงปลูก ทำกัน 2 แบบ
     1.1การปลูกในแปลงใหญ่หรือปลูกในสวนคือปลูกเป็นจำนวนมากใช้ขนาดแปลงกว้างประมาณ12เมตรโดยยกคันดินเป็นร่องคล้าย
          กับแปลงปลูกผัก ขนาดหลุมปลูกประมาณ 30 x 30 x30เซนติเมตรระยะปลูกประมาณ12เมตร การเตรียมดินโดยการไถพรวนดิน
          แล้วผสมปุ๋ยอินทรีย์ลงไป อัตราประมาณ 30 - 50กิโลกรัม/แปลงในขนาดแปลงปลูกประมาณ 2 x 30 เมตร
     1.2 การปลูกในแปลงปลูกขนาดเล็ก ที่มีจำนวนพื้นที่จำกัด เช่น การปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านหรือสวน ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x  30 เซนติเมตรใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก:ดินร่วน 
            อัตรา 1:1ผสมดินปลูกแต่ถ้าจะให้สวย งามควรปลูกเป็นกลุ่มเพราะจะได้เห็นความสวยงามของดอกได้เด่นชัดขึ้น
2). การปลูกในกระถางเพื่อใช้ประดับอาคารบ้านเรือน นิยมใช้เป็นดอกประดับภายนอกอาคาร ควรใช้กระถางสูงขนาด 10 - 16 นิ้ว     ใช้ปุ๋ยคอก : แกลบผุ : ดินร่วน อัตรา 1 : 1 : 1 ผสมดินปลูก และควรเปลี่ยนกระถาง 12ปี/ครั้งเพราะการขยายตัวของรากแน่นเกินไป  และเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่แทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป การขยายพันธุ์
เฮลิโคเนียสามารถขยายพันธุ์ด้วยหลายวิธี ได้แก่ การเพาะเมล็ด การแยกกอ และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
•   การเพาะเมล็ด ทำโดยนำเมล็ดที่สุกกำจัดส่วนที่เป็นเนื้อออก นำไปแช่น้ำก่อนเพาะ และควรแช่สารเคมีป้องกันเชื้อรา เพาะในกะบะลึกเท่ากับความหนาเมล็ด โดยมีทรายและขุยมะพร้าวในอัตราส่วน 1:1 เป็นวัสดุปลูก เมล็ดเฮลิโคเนียใช้เวลางอกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 3 ปี
•   การแยกกอ โดยการแยกกออกเป็นส่วน ๆ ให้มีลำต้นเทียมติดเหง้าอยู่ 1-2 ต้น โดยมีทรายผสมขุยมะพร้าวหรือดินผสมเป็นวัสดุปลูก ชำในที่ร่มรำไร ประมาณ 4-6 สัปดาห์ รากและหน่อใหม่จะเริ่มงอก
•   การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จะได้ต้นที่ปราศจากเชื้อโรค เช่น Ralstonia solanacearum และได้หน่อจำนวนมาก ขึ้นกับชนิดเฮลิโคเนีย เมื่อเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเฮลิโคเนีย H. psittacorum L.f. 4 พันธุ์ คือ พันธุ์ Golden Torch, Orange, Andromeda และ Sassy โดยใช้ตาที่ปลายยอดและตาตามซอกกาบใบ (terminal and axillary bud) ของเหง้าบนสูตรอาหาร Murashige and Skoog (MS) ใช้เวลาเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ 4-5 เดือน มีอัตราการเพิ่มของหน่อเป็น 5 เท่าของการขยายพันธุ์โดยการแยกกอ

การดูแล
แสง    ต้องการแสงแดดร่ม รำไร จนถึงแดดจัด หรือกลางแจ้ง

น้ำ      ต้องการปริมาณน้ำปานกลางจนถึงมาก ควรให้น้ำ 3 - 5 วัน / ครั้ง

ดิน      ดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย

ปุ๋ย      ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 กิโลกรัม/กอ ใส่ปีละ 4-6 ครั้ง

โรคศัตรู    ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและศัตรูจะพบเพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง

อาการ     กัดดูดน้ำเลี้ยงบริเวณใบ ก้านใบและยอดอ่อนทำให้ใบเลือง เหี่ยวเฉา

การป้องกัน   กำจัดพาหะพวกมดต่างๆ โดยใช้ยานิโคตินซัลเฟต 40 % อัตราและคำแนะนำระบุไว้ตามฉลาก

การกำจัด      ใช้ยานิโคตินซัลเฟต 40 % หรือ ไดซีสตอน เมทาซีสทอกซ์ อัตราและคำแนะนำระบุไว้ตามฉลาก
ถ้าแบ่งพันธุ์ของเฮลิโคเนีย ตามลักษณะของช่อดอก ก็จะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ช่อดอกตั้งขึ้น และ กลุ่มที่ช่อดอกคว่ำ หรือว่าห้อยลง

#12
ไม้ล้มลุก / กกตุ้มหู รหัส 7-34190-001- 340
22 มิถุนายน 2013, 13:32:52 หลังเที่ยง
กกตุ้มหู รหัส 7-34190-001- 340 
ชื่อสามัญ : -
ชื่อวิทยาศาสตร์ :Cyperus brevifolius (Rottb.) Hassk.
ชื่อวงศ์ : CYPERACEAE
ลักษณะทั่วไป :
เป็นพืชล้มลุกอายุข้ามปี ชอบขึ้นตามชายน้ำริมคลอง มีลำต้นใต้ดินทอดยาวออกไป ต้นสูงประมาณ 20-40 ซม.
เจริญเติบโตแบบแตกกอ ใบมีขนาดเล็กรูปร่างยาวเรียวแตกรอบโคนต้น ช่อดอกมีสีเขียว
ดอกมีขนาดเล็กมากเบียดกันแน่นเป็นกระจุกกลม อาจมีสองหรือสามกระจุกรวมกันอยู่ก็ได้
#13
ไม้ต้น / มะขามเทศด่าง รหัส7-34190-001-339
22 มิถุนายน 2013, 13:27:47 หลังเที่ยง
339  มะขามเทศด่าง 
ชื่อสามัญ  -
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pithecellobium dulce (Roxb.)
Benth. 'Variegata'
ชื่อวงศ์ :  MIMOSACEAE
เป็นไม้ต้น ขนาดกลาง แตกกิ่งก้านสาขามาก ใบดกหนา ใบมีขนาด 1 - 2 เซ็นติเมตร สีเทาขลิบด้วยสีขาว
ใบที่ผลิใหม่ ส่วนที่เป็นสีขาวจะมีสีชมพูเรื่อๆ เจืออยู่ด้วย มองดูไกลๆ สวยงามมาก
ดอกมีสีขาวหรือเหลืองอ่อน แตกตามยอดหรือปลายกิ่งหรือกิ่งข้างดอกย่อยอยู่รวมกันเป็นกระจุกกลมแน่น
โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นห้ากลีบเกสรจำนวนมาก
ผลเป็นฝักแบน โค้งเป็นวงกลมหรือครี่งวงกลม เมื่อแก่จะแตกเป็นสองซีก เนื้อหุ้มเมล็ดสีขาว เมื่อแก่เป็น
เป็นสีแดง เมล็ดกลมแบน สีดำ
มีความสามารถในการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดี
#14
ไม้พุ่ม / เตยหนามลำเจียก รหัส 7-34190-001-338
22 มิถุนายน 2013, 13:21:43 หลังเที่ยง
เตยหนามลำเจียก รหัส 7-34190-001-338   
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pandanus odoratissimus L.f.
ชื่อพื้นบ้านอีสาน  เตย
วงศ์   PANDANACEAE     
ประเภท  ไม้ต้นขนาดเล็ก
ลักษณะวิสัย     เตยเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ใบรูปขอบขนานเรียวยาวผิวเรียบมัน ปลายใบแหลมสีเขียวเข้ม กลางใบเป็นร่องตามยาว ขอบมีหนามแหลมคม ถี่ ๆ ตลอดใบ มีรากอากาศงอกออกมาจากลำต้น ดอกช่อออกที่ปลายยอด ใบประดับสีขาวเรียวยาว เป็นกาบหุ้ม ดอกสีขาวอัดตัวกันแน่น ลำต้นกลมเป็นข้อถี่ๆ ผลรวมทรงกลมสีแดง ขึ้นตามที่ชุ่มน้ำหรือมีน้ำขัง ขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อ
ประโยชน์
ใบใช้ในการทำสาด (เสื่อ) สรรพคุณทางสมุนไพร รากอากาศ แก้กษัยไตพิการ ขับปัสสาวะ แก้ไข้ ขับนิ่ว แก้หนองใน แก้หมาดขาว(ระดูขาว) ขับเสมหะ ราก แก้พิษเสมหะ ขับปัสสาวะ ดอกแก้ลม บำรุงหัวใจ แก้ไข้
#15
ไม้ล้มลุก / คุณนายตื่นสาย รหัส 7-34190-001-337
22 มิถุนายน 2013, 13:15:21 หลังเที่ยง
คุณนายตื่นสาย รหัส 7-34190-001-337

ชื่อวิทยาศาสตร์: Portulaca oleracea L.

ชื่อวงศ์:  Portulacaceae

ชื่อสามัญ:  Purslane, Pussley, Rose mose, Sun plant, Eleven-o clock
ชื่อพื้นเมือง:  แพรเซี่ยงไฮ้ แดงสวรรค์ สาวเชียงใหม่บานเที่ยง บ้าแดด ดอกผักเบี้ย ผักเบี้ยฝรั่ง
ลักษณะทั่วไป:
    ต้น ไม้คลุมดิน ลำต้นอวบน้ำสีม่วงแดง แผ่ทอดเลื้อยไปตามผิวดิน
    ใบ  ใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบรูปไข่กลับแกมรูปรี กว้าง 1-2 เซนติเมตร ยาว 2-3 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบอวบน้ำ ผิวใบด้านบนสีเขียวอ่อนถึงเขียวเข้ม   บางพันธุ์มีขอบใบขลิบสีแดง
    ดอก  สีขาว  ชมพู  แดง เหลือง  ส้ม ออกเป็นดอกเดี่ยวตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบดอกชั้นเดียวบอบบาง  ขอบกลีบดอกหยักเป็นคลื่น บานเมื่อได้รับแสงแดดตอนเช้า ดอกบานเต็มที่กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร
    ฝัก/ผล  ผลแห้งแตก
    เมล็ด  มีเมล็ดจำนวนมาก
ฤดูกาลออกดอก:  ตลอดปี
การปลูก:  ปลูกคลุมดินประดับสวน เป็นแปลงริมรั้ว , ข้างทางเดินหรือนำขึ้นกระถางแขวน
การดูแลรักษา:  ขึ้นได้ในดินทั่วไป โดยเฉพาะดินทรายหรือดินปนทราย ไม่ชอบแฉะ และชอบแสงแดดจัด
การขยายพันธุ์:  โดยการปักชำ กิ่ง แยกต้น
การใช้ประโยชน์:  ไม้ประดับ
ถิ่นกำเนิด:  แถบประเทศบราซิล