• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่เว็บไซต์งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนวารินชำราบ

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - กัญชพร ตันแก้ว

#1
สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้
(สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้ ตั้งแต่หน้า 2-7 และข้อมูลพื้นบ้านหน้า 1 ในลักษณะเรียงความบรรยายพรรณไม้ )
ชื่อพันธุ์ไม้  ยางกราด      รหัสพรรณไม้ 7-34190-001-024
   ไม้ต้น   อยู่กลางแจ้ง  สูง  35  เมตร  ทรงพุ่มรูปไข่  กว้าง  1.8  เมตร  ลำต้นเหนือดิน ตั้งตรงได้เอง     ผิวแตกเป็นสะเก็ด ยางมีสีขาวขุ่น  ลำต้นสีน้ำตาลปนเทา  ใบเดี่ยวเรียงสลับ
ใบอ่อนมีหูใบสี แดง  ผิวใบมีขนสาก ใบแก่ด้านบนสีเทา-ขาว    รูปรี กว้าง 10-20ซม. ยาว 15-25 ซม. ปลายใบแหลม     โคนใบมน ขอบใบเป็นคลื่น ดอกเป็นช่อแขนง ออกปลายยอด กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก สีชมพู กลีบดอกแยกจากกันมีจำนวน 5 กลีบ สีชมพู เกสรเพศผู้มีจำนวน 30 อัน สีเหลือง เกสรเพศเมียมีจำนวน 3 อัน เรียวแหลม
รังไข่เหนือวงกลีบ ผลแห้งกลมหรือรี สีของผลอ่อนสีชมพู ผลแก่สีน้ำตาลแดง รูปไข่ มีปีกรูปขนาน ปีก 5 ปีก ปีกยาว 2 ปีก ปีกสั้น 3 ปีกจำนวนเมล็ด 1 เมล็ดต่อผล  ลักษณะพิเศษ ผล เป็นจีบพับ

น้ำมันจากต้นใช้ทำน้ำมันใส่แผล ทำไต้ ทาไม้ยาเรือ เครื่อง จักสาน ผลทำไม้ประดับแห้งสีแดงอยู่ได้นานถึง 1 ปี

#2
สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้
(สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้ ตั้งแต่หน้า 2-7 และข้อมูลพื้นบ้านหน้า 1 ในลักษณะเรียงความบรรยายพรรณไม้ )

ชื่อพันธุ์ไม้  ฝางเสน                   รหัสพรรณไม้ 7-34190-001-181
     ไม้ต้น สูง  5  เมตร  ทรงพุ่มรูปร่ม  กว้าง  4  เมตร  ลำต้นเหนือดิน ตั้งตรงเองได้    ผิวลำต้นมีหนามโค้งสั้นๆ และแข็งทั่วทุกส่วน เห็นข้อปล้องไม่ชัดเจน  ต้นอ่อนสีเขียวอมน้ำตาล   ต้นแก่สีน้ำตาลอ่อนปนขาว  ไม่มียาง   ใบประกอบแบบขนนกสองชั้นสีเขียว    เรียงตรงข้าม  ใบอ่อนเขียวอ่อน  ใบแก่สีเขียวแก่ รูปขอบขนาน  กว้าง 4  เซนติเมตร   ยาว 15 เซนติเมตร ใบประกอบ 19 -22 ใบ  ขนาดกว้าง 1 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร ปลายใบเว้าตื้น โคนใบตัด ขอบใบเรียบ  ดอกช่อกระจะ  ออกปลายยอด สีเหลือง   กลีบเลี้ยงแยกกัน 5 กลีบ  สีเขียว โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก สีเขียว กลีบดอกรูปดอกถั่วโคนเชื่อมติดกันรูปกงล้อ  เกสรเพศผู้มี 10 อัน เกสรเพศเมีย 1  อัน  รังไข่ใต้วงกลีบ ไม่มีกลิ่น  ผลแห้งแตกแบบถั่ว ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีน้ำตาลเข้ม   ฟักแบนแข็งรูปขอบขนาน กว้างเป็นเหลี่ยมค่อนไปทางด้านบน  สีเขียว รูปมนคล้ายวงรี  มี 3-5  เมล็ด
สรรพคุณ ฝาง มี 2 ชนิด ชนิดหนึ่งแก่นสีแดงเข้ม เรียกว่า ฝางเสน อีกชนิดหนึ่งแก่น
สีเหลือง เรียกว่าฝางส้ม ใช้ทำเป็นยาต้ม 1 ใน 20 หรือยาสกัดสำหรับ Haematoxylin ใช้เป็นสีสำหรับย้อม Nuclei ของเซล ใช้แก่นฝางต้มเคี่ยว จะได้น้ำสีแดงเข้มคล้ายด่างทับทิมใช้ย้อมผ้าไหม งามดีมาก ใช้แต่งสีอาหาร ทำน้ำยาอุทัย แก่นฝาง รสขื่นขมหวาน ฝาด รับประทานเป็นยาบำรุงโลหิตสตรี ขับประจำเดือน แก้ปอดพิการ ขับหนอง ทำโลหิตให้เย็น รับประทานแก้ท้องร่วง แก้ธาตุพิการ แก้ร้อน แก้โลหิตออกทางทวารหนักและเบา รักษาน้ำกัดเท้า แก้คุดทะราด แก้เสมหะ แก้โลหิต แก้เลือดกำเดา น้ำมันระเหย เป็นยาสมานอย่างอ่อน แก้ท้องเดิน

#3
พรรณไม้แห้ง / โมกบ้าน 7-34190-001-100
10 กรกฎาคม 2013, 21:07:17 หลังเที่ยง
สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้
(สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้ ตั้งแต่หน้า 2-7 และข้อมูลพื้นบ้านหน้า 1 ในลักษณะเรียงความบรรยายพรรณไม้ )

ชื่อพันธุ์ไม้           โมกบ้าน                 รหัสพรรณไม้   7-34190-001-100
          ไม้ต้น   อยู่กลางแจ้ง  สูง  2 เมตร ทรงพุ่มรูปไข่ กว้าง  1.8 เมตร ลำต้น เหนือดิน  ตั้งตรงเองได้ ผิวหยาบขรุขระ    ต้นอ่อนน้ำตาลอ่อนปนเขียว  ต้นแก่สีน้ำตาลไม่มียาง   ใบเดี่ยว  เรียงตรงข้างสลับตั้งฉาก  ใบแก่สีเขียวเข้ม  ใบอ่อนสีเขียวอ่อน ใบบาง เป็นมัน  รูปรี  กว้าง 10  ซม.    ยาว 20  ซม.ปลายใบ  เรียวแหลม  โคนใบ  มน ขอบใบ  เรียบ  ดอกช่อแบบ แยกแขนง  ออกซอกใบ   กลีบเลี้ยง  แยกจากกัน   จำนวน  5  กลีบ   สีเขียว  โคนกลีบเชื่อมติดกัน   ปลายแยกเป็น5 – 16 .แฉก  สีขาว  เกสรเพศผู้  มีจำนวน..มาก  สีขาวอมเหลืองเกสรเพศเมีย มีจำนวน  1 อัน  สีขาว รังไข่เหนือวงกลีบ   กลิ่นหอม  ผลแห้ง   แบบแห้งแตก  ผลแตกแบบผักกาด  ผลอ่อนสีเขียว  ผลแก่ สี น้ำตาล  รูปร่างของผลยาวกลมรี  ลักษณะพิเศษของผลออกเป็นฝักคู่  เมล็ด   จำนวนเมล็ดมาก  สีดำน้ำตาล เมล็ดกลมรี มีปุย ปลิวได้


ปลูกเป็นไม้ประดับ
สรรพคุณทางยา  รากใช้รักษาโรคผิวหนัง   เรื้อน คุดทะราด แก้พิษสัตว์กัดต่อย
ใบ ใช้ขับน้ำเหลือง   ดอก เป็นยาระบาย   เปลือก เป็นยาเจริญอาหาร รักษาโรคไต
  ยางจากต้นแก้บิด
#4
พรรณไม้แห้ง / ต้อยติ่ง 7-34190-001-090
10 กรกฎาคม 2013, 21:00:18 หลังเที่ยง
สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้
(สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้ ตั้งแต่หน้า 2-7 และข้อมูลพื้นบ้านหน้า 1 ในลักษณะเรียงความบรรยายพรรณไม้ )

ชื่อพันธุ์ไม้   ต้อยติ่ง     รหัสพรรณไม้   7-34190-001-090
          ไม้ล้มลุก อยู่กลางแจ้ง สูง    25-40 เซนติเมตร เรือนยอดรูปไข่  กว้าง  50 เซนติเมตร ลำต้นเหนือดินตั้งตรงเองได้   ผิวเรียบ เห็นข้อปล้องชัดเจน ต้นอ่อนสีเขียว ต้นแก่สีเขียวปนน้ำตาล ไม่มียาง ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงข้าม ใบอ่อนสีเขียวอ่อน ใบแก่สีเขียวแก่  รูปรี กว้าง 3-4 ซม. ยาว 6-8 ซม. ปลายใบมน โคนใบสอบ ขอบเป็นคลื่นเล็กน้อย  ดอกช่อกระจุก ตามซอกใบ บริเวณปลายยอด สีม่วงถึงชมพูอ่อน กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมกัน ปลายแยกเป็นแฉกแหลม 5 แฉก สีเขียว  กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวย ส่วนบนโค้งเล็กน้อย ปลายแยกเป็น 5 แฉก สีม่วง รูปกรวย  ขนาดดอกกว้าง 3.5 ซม. เกสรผู้ 4 อัน สั้น 2 อัน ยาว 2 อันผลแห้งเป็นฝักรูปกระสวย ยาว 2-2.5 ซม. ผลอ่อนสีเขียว  ผลแก่สีน้ำตาลเข้ม ภายในมี 8 เมล็ด ผล แห้งแล้วแตกเป็น 2 ซีก สีของเมล็ดดำ รูปร่างเมล็ด กลมแบน
สรรพคุณทางยาสมุนไพร  รากของต้อยติ่งสามารถใช้เป็นยา รักษาโรคไตโรคไอกรนหรือแม้แต่เป็นยาขับเลือดถ้าใช้ในปริมาณที่เจือจางก็ สามารถกำจัดสารพิษในเลือด บรรเทาอาการสารพิษตกค้างในปัสสาวะส่วนใบของต้อยติ่งสามารถใช้เป็นยาถ่าย พยาธิหรือใช้พอกแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ แต่ต้อยติ่งมักจะถูกถอนทิ้งเพราะคนคิดว่าเป็นวัชพืช
#5
สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้
(สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้ ตั้งแต่หน้า 2-7 และข้อมูลพื้นบ้านหน้า 1 ในลักษณะเรียงความบรรยายพรรณไม้ )

ชื่อพันธุ์ไม้  เฮลิโคเนีย          รหัสพรรณไม้   7-34190-001-494
          ไม้ล้มลุก    อยู่กลางแจ้ง    ความสุง  3  ม     ทรงพุ่มรูปร่ม     ลำต้นใต้ดิน ลำต้นเทียม ตั้งตรงเองได้เปลือกลำต้น  สีน้ำตาล ลำต้นเทียมสีเขียว   ผิวเรียบ  มียางสีใส เมื่อแห้งสีน้ำตาล   ใบเดี่ยว  สีเขียว   เรียงสลับตรงกันข้ามในระนาบเดียวกัน มีทั้งใบที่คล้ายกล้วย ขนาดแผ่นในกว้าง     6.5   ซม   ยาว    36   ซม  ใบลิ่มแคบ  ดอกช่อ    ช่อดอกย่อย  แบบวงแถวคู่ ช่อดอกตั้ง ออกที่ปลายยอด  กลีบเลี้ยงบางใส  โคนเชื่อมติดกัน   ปลายแยกเป็น  4  แฉก   สีแดง  เกสรเพศผู้   5   อัน      เพศเมีย    1   อัน  รังไข่เหนือวงกลีบ    ไม่มีกลิ่น    ผลอ่อนสี เขียว     ผลแก่สี เหลือง
      
      ปลูกเป็นไม้ประดับ
#6
ชีวิตที่ต้องมีการต่อสู้ดิ้นรน...เพื่อความอยู่รอด...สรรพสิ่งย่อมเกิดมาเพื่อกันและกัน...ตัวหนึ่งต้องจากไปเพื่อความอยู่รอดของอีกตัว..เป็นไปตามกฏแห่งธรรมชาติ...ของห่วงโซ่อาหาร
#7
วันพืชมงคลปี 2556  คณะครูโรงเรียนวารินชำราบ  ได้มีโอกาสเข้าไปในสวนจิตรลดา เพื่อรับเสด็จ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 
#8
เคยเห็นดอกโมกแดงกันไหมคะ...เห็นสวย แปลกดีก็เลยนำมาให้ชมค่ะ
โมกแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์: Wrightia dubia (Sims) Spreng.
วงศ์ :               APOCYNACEAE
ชื่อพื้นเมือง:      โมกแดง, โมกป่า
ลักษณะทั่วไป: โมกแดงเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 2-4 เมตร ลำต้นมีรอยขีดสีขาวตามยาว แตกกิ่งน้อย ทรงพุ่มโปร่ง  แตกกิ่งก้านเป็นพุ่ม
ใบ: ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม  รูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาว 8-12 เซนติเมตร ปลายใบแหลม เป็นติ่งยาว โคนมน หลังใบเป็นมัน ท้องใบเรียบเห็นเส้นใบชัดเจน ใบดกและหนาแน่นดี
ดอก: เป็นดอกเดี่ยว บางครั้งออกเป็นกระจุก กระจุกละ 1-4 ดอก ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ดอกทรงระฆังคว่ำ ห้อยลง กลีบดอกมี 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน โคนเป็นรูปกรวย มีเกสรตัวผู้ 5 อัน อยู่ด้านใน ปลายกลีบแหลม ด้านหน้ากลีบดอกมีสีส้มแดงอมชมพู ด้านหลังมีสีขาวนวล เมื่อดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4 เซนติเมตร ดอกบานเต็มที่กลีบดอกจะบิด มีกลิ่นหอม ดอกบานวันเดียวแล้วร่วง ออกดอกตลอดปี บางชนิดพันธุ์ดอกจะมีกลิ่นหอมแปลกๆ คล้ายกลิ่นนมเปรี้ยว หรือ กลิ่นสาเหล้า
การดูแล: โมกแดงชอบอยู่ในที่ที่แสงแดดรำไร มีความชื้นในดินและในอากาศ ค่อนข้างสูง ดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วนซุยระบายน้ำดี
การขยายพันธุ์: เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง แยกหน่อที่แตกจากรากใต้ดิน
เปลือก เนื้อไม้ต้มน้ำดื่มช่วยป้องกันได้
ไม้ดอก ไม้ประดับบางชนิดนอกจากจะมีดอกสวยงาม มีกลิ่นหอมเป็นเสน่ห์แล้ว ยังมีสรรพคุณเป็นสมุนไพรด้วย เพียงแต่คนทั่วไปไม่ทราบ ซึ่งต้นโมกแดงถูกจัดอยู่ในจำพวกมีดอกสวย และมีสรรพคุณเป็นสมุนไพรด้วย
โดย ในตำรายาแผนไทยระบุว่า
เปลือกต้น กับ เนื้อไม้ของ โมกแดง สามารถนำไปผสมกันปรุงเป็นยาขับระบบหมุนเวียนของเส้นโลหิตฝอยในร่างกายได้ดี ไม่แตกง่ายๆ (ส่วนใหญ่ใช้ต้มดื่มโดยกะจำนวนเท่าๆกันพอประมาณ) เส้นโลหิตฝอยเราจะพบเห็นบริเวณปลายจมูก เป็นเส้นแดงๆชัดเจนในบางคน บางทีพบที่หลังเท้า คนที่ผิวขาวจะดูง่าย
เวลามีดอกดกจะดูสวยงามมาก
ดอกออกได้ เรื่อยๆ ผล เป็นฝักคู่ โคนฝักติดกัน พอแก่แห้งจะแตกอ้าออก เห็นเมล็ดเป็นเส้น มีขนสีขาวเป็นพู่คล้ายปุยนุ่นที่ปลายสามารถปลิวตามลมได้ไกล ไปตกที่ใดถ้าเมล็ดยังไม่ฝ่อ เมื่อได้น้ำจากธรรมชาติ จะแตกเป็นต้นใหม่ขึ้นมาเองได้ ซึ่งอาจเป็นไม้กลายพันธุ์ ดอกและต้นจะมีลักษณะแตกต่างไปจากพันธุ์เดิมได้ ขยายพันธุ์ ด้วยเมล็ดและตอน
การปลูก เหมาะจะปลูกเป็นไม้ประดับในบริเวณบ้าน
หรือปลูกเป็นไม้สมุนไพรเพื่อใช้ประโยชน์ทางยาตามที่กล่าวข้างต้น ลักษณะเป็นไม้ชอบแดด ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ดังนั้น บริเวณ ที่ปลูกต้องเป็นที่ดอน น้ำท่วมไม่ถึง หลังปลูกช่วงแรกต้องรดน้ำเช้าเย็น พร้อมบำรุงปุ๋ยขี้วัวหรือขี้ควายแห้งกลบฝังดินรอบโคนต้น 10 วันครั้ง เมื่อต้นตั้งตัวได้และเคยดินปล่อยให้อยู่เองได้
#9
ชื่อวิทยาศาสตร์:  Tecoma stans (L.) Kunth
ชื่อวงศ์:  Bignoniaceae
ชื่อสามัญ:  Yellow elder, Yellow bells, Trumpet vine
ลักษณะทั่วไป:
    ต้น  ไม้พุ่มชนาดกลาง  ไม่ผลัดใบ เรือนยอดทรงกลมถึงรูปไข่ ทรงพุ่มโปร่ง  ลำต้นตั้งตรง
    ใบ  ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น กว้าง 14-16 เซนติเมตร  ยาว 20-23 เซนติเมตร ใบย่อย 5-11 คู่ เรียงตรงข้าม ใบรูปใบหอกหรือรูปไข่แกมรูปขอบขนาน กว้าง 2.5-3 เซนติเมตร  ยาว 5-6 เซนติเมตร  ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบ  ขอบใบจักฟันซี่  แผ่นใบบาง ผิวใบด้านบนสีเขียวสด  ก้านใบยาว  9-12 เซนติเมตร
    ดอก  สีเหลืองสด ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะแยกแขนงที่ปลายกิ่ง ก้านช่อดอกยาว 7-11 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงสีเขียว โคนเชื่อมติดกันปลายแยก 5 แฉก ปลายแหลม โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายเเยกเป็น 5 แฉก คล้ายรูปแตร ดอกร่วงง่าย
    ฝัก/ผล  ผลแห้งแตก  เป็นฝักกลม  เรียวเล็ก  ยาว 12-14 เซนติเมตร
    เมล็ด  เมล็ดแบนบาง  สีน้ำตาลอ่อนมีปีก
ฤดูกาลออกดอก:  กรกฎาคม-กันยายน
การปลูก:  ปลูกประดับสวน
การดูแลรักษา:  ดินร่วน ระบายน้ำดี แสงแดดจัด
การขยายพันธุ์:  เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง
การใช้ประโยชน์:  ไม้ประดับ
ถิ่นกำเนิด:  อเมริกากลางและใต้ หมู่เกาะอินดีสตะวันตก
แหล่งที่พบ:  พบได้ทั่วทุกภาค
#10
พรรณไม้เฉพาะส่วน / ประดู่ป่า 7-34190-001-002
25 มิถุนายน 2013, 23:22:13 หลังเที่ยง
  ประดู่ป่า  7-34190-001-002
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pterocarpus  macrocarpus  Kurz
วงศ์ : LEGUMINOSAE - PAPILIONACEAE
ชื่อสามัญ :
ชื่ออื่น :   จิต๊อก ดู่ ประดู่เสน
         ลักษณะวิสัย :   เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 15-30 เมตรลำต้นเปลาตรง โคนต้นอาจเป็นพูเล็กๆ บ้าง เปลือกสีน้ำตาลดำแตกเป็นระแหงทั่วไป เปลือกในมีน้ำเลี้ยงสีแดง ตามกิ่งและก้านอ่อนมีขนนุ่มทั่วไป กิ่งแก่เกลี้ยง เรือนยอดเป็นพุ่มกลมหรือเป็นรูปร่ม ปลายกิ่งห้อยลู่ลง
         ใบ เป็นช่อยาว 12-20 ซม. เรียงสลับกัน ช่อหนึ่งๆ มีใบย่อยติดเยื้องๆ กันอยู่ 4-10 ใบ ใบย่อยรูปป้อมมน รูปไข่ หรือรูปไข่แกมรูปหอก กว้าง 2.5-5.0 ซม. ยาว 5-15 ซม. โคนใบมนกว้างๆ หรือป้าน ค่อยๆ สอบไปทางปลายใบ ปลายสุดเป็นติ่งแหลม หลังใบเกลี้ยงเป็นมัน ส่วนท้องใบมีขนประปราย ขอบใบเรียบ เส้นแขนงใบถี่โค้งไปตามรูปใบเป็นระเบียบ ก้านใบย่อยยาวไม่เกิน 1 ซม. ก้านใบย่อยและก้านช่อใบบวมและมีขนประปราย จะผลัดใบก่อนออกดอก แล้วผลิใบใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว
          ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ตอนปลายๆ กิ่ง ช่อหนึ่งๆ ยาว 10-20 ซม. เป็นดอกสมบูรณ์เพศโคนกลีบรองกลีบดอกติดกันเป็นกรวยโค้งเล็กน้อย ด้านนอกมีขนนุ่ม ปลายแยกเป็นแฉกทู่ๆ 5 แฉก ใหญ่ 2 แฉก เล็ก 3 แฉก กลีบดอกเป็นรูปช้อนเล็กๆ ปลายกลีบกว้างและเป็นคลื่น โคนกลีบเรียวสอบเป็นก้านกลีบปกและกลีบปลีก 2 กลีบ เป็นลอนขยุกขยิก ส่วนกลีบหุ้ม 2 กลีบรูปมน เกสรผู้มี 10 อัน รังไข่มีก้านชูรังไข่ ภายในมีไข่อ่อน 2 หน่วย หลอดท่อรังไข่โค้งและจะกลายเป็นจะงอยติดอยู่ที่ขอบครีบของผลในเวลาต่อมา
          ผล เป็นแผ่นกลมคล้ายจานบิน ตรงกลางนูนแล้วลาดออกเป็นครีบบางๆ โดยรอบ กว้างประมาณ 5-7 ซม.ออกดอกเดือน มีนาคม - เมษายน

          ประโยชน์ :  เนื้อไม้ สีแดงอมเหลืองถึงสีแดงอย่างสีอิฐแก่ มีเส้นแก่กว่าสีพื้น บางทีมีลวดลายสวยงาม เสี้ยนสนเป็นริ้ว เนื้อละเอียดปานกลาง แข็ง แข็งแรงและทนทาน ไสกบตบแต่งและชักเงาได้ดี ใช้ทำบ้านเรือน พื้น เสา รอด และสิ่งที่รองรับน้ำหนักมากๆ ทำกระบะรถ เกวียน ลูกกลิ้ง ด้ามเครื่องมือ ปุ่มของไม้ ประดู่มีลวดลายสวยงามและมีราคาสูง ใช้ทำเครื่องเรือน เปลือก ให้สีน้ำตาล แก่น ให้สีแดงคล้ำ ใช้ย้อมผ้า แก่นมีรสขมหวาน แก้คุดทะราด แก้เสมหะ โลหิตกำเดา แก้ไข้ ใช้ปุ่มต้มเอาควันรมทวารให้หัวริดสีดวงฝ่อแห้ง
#11
พรรณไม้เฉพาะส่วน / พะยอม 7-34190-001-001
25 มิถุนายน 2013, 23:16:10 หลังเที่ยง
สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้
(สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้ ตั้งแต่หน้า 2-7 และข้อมูลพื้นบ้านหน้า 1 ในลักษณะเรียงความบรรยายพรรณไม้ )
ชื่อพันธุ์ไม้........พะยอม................รหัสพรรณไม้  7-34190-001-001
ไม้ต้น  อยู่กลางแจ้ง สูง 25 เมตร  ทรงพุ่มรูปกลม  กว้าง 15  เมตร  ลำต้น เหนือดิน ตั้งตรงได้เอง  ผิวขรุขระ แตกร่องและเป็นสะเก็ดหนา  เปลือกนอกเปลือกสีเทาคล้ำ เปลือกในสีน้ำตาลแกมเหลือง มีเส้นสีน้ำตาลแก่แซม  มี ยางมี สีเหลือง  ใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบอ่อนสีเขียวอ่อนเกือบเหลือง ใบแก่ด้านบนสีเขียว ด้านล่างสีเขียวหม่น ผิวใบเกลี้ยงถึงมีขนนุ่มทางด้านล่าง รูปขอบขนาน ถึงรูปรีแกมรูปขอบขนาน    กว้าง 3.5-6.5 ซม. ยาว 8-15 ซม. ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ  ดอกช่อกระจุกแยกแขนง ออกดอกที่ ซอกใบ กลีบเลี้ยง แยกจากกัน 5 กลีบ สีเขียวอ่อน  กลีบดอกแยกกัน  5กลีบ สีขาว เรียงเวียนกันแบบกังหัน  เกสรตัวผู้  15 อันสีเหลือง เกสรเพศเมีย 1 อัน สีเขียวอ่อนรังไข่อยู่ใต้วงกลีบ  มีกลิ่นหอมจัด ผลเดี่ยว ผลแห้งกลมรี ถึงรูปไข่ ปลายแหลม  ผลอ่อนสีเขียวอ่อน ปีกสีเหลือง  ผลแก่สีน้ำตาล กว้างประมาณ 1.2 ซม. ยาว ประมาณ 1.5 ซม. มีปีกยาว 3 ปีก และปีกสั้น 2 ปีก มี 1 เมล็ด

   เนื้อไม้ สีเหลืองอ่อนถึงน้ำตาล ใช้ก่อสร้างทั่วไป  เปลือกมีรสฝาด ใช้ปรุงเป็นยาสมานลำไส้ แก้ท้องเดิน ดอกปรุงเป็นยาแก้ไข้ แก้ลม บำรุงหัวใจ ชันใช้ผสมน้ำมันทาไม้ และยาแนวเรือ

พะยอม
ชื่อวิทยาศาสตร์   Shorea roxburghii G. Don
วงศ์  DIPTEROCARPACEAE
ชื่ออื่น       กะยอม (เชียงใหม่) ขะยอม (ลาว)
ขะยอมดง พะยอมดง (ภาคเหนือ)
ยางหยวก (น่าน) เชียง เซียว (กะเหรี่ยง เชียงใหม่)
พะยอมทอง (สุราษฎร์ธานี ปราจีนบุรี)
แคน (เลย)
ชื่อสามัญ    White Meranti
ลักษณะวิสัย  เป็นไม้ต้น ผลัดใบ สูง 20–30 ม.
เรือนยอดเป็นพุ่มกลม       
ลำต้นเปลาตรง เปลือกสีเทาคล้ำ แตกร่องและเป็นสะเก็ดหนา
เปลือกในสีน้ำตาลแกมเหลือง มีเส้นสีน้ำตาลแก่แซม
ใบ เดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปขอบขนาน ถึงรูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 3.5–6 ซม. ยาว 9–13 ซม. ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบมน ผิวใบเกลี้ยงถึงมีขนนุ่มทางด้านล่าง เส้นแขนงใบ 14–16(–20) คู่ ก้านใบยาว 2–2.5 ซม.ดอก สีขาวนวล ถึงเหลืองอ่อน กลิ่นหอมแรง ออกเป็นช่อตามกิ่งและปลายกิ่ง
ผล กลมรี ถึงรูปไข่ ปลายแหลม กว้างประมาณ 1.2 ซม. ยาว ประมาณ 1.5 ซม. มีปีกยาว 3 ปีก และปีกสั้น 2 ปีก
การกระจายพันธุ์ในป่าเบญจพรรณแล้งและป่าดิบ ทั่วทุกภาคของประเทศ     ที่ความสูงจากระดับทะเลปานกลาง 50–1,200 ม.ในต่างประเทศพบที่พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย
ออกดอกเดือนธันวาคม–เมษายน ผลแก่เดือนกุมภาพันธ์–พฤษภาคม   เนื้อไม้ สีเหลืองอ่อนถึงน้ำตาล ใช้ก่อสร้างทั่วไป เช่น เสา รอด ตง พื้น ฝา และไม้หมอนรถไฟ เป็นต้น เปลือกมีรสฝาด ใช้ปรุงเป็นยาสมานลำไส้ แก้ท้องเดิน ดอกปรุงเป็นยาแก้ไข้ แก้ลม บำรุงหัวใจ ชันใช้ผสมน้ำมันทาไม้ และยาแนวเรือ

#12
พรรณไม้ดอง / ง้าว 7-34190-001-006
25 มิถุนายน 2013, 15:43:56 หลังเที่ยง
ง้าว 7-34190-001-006
ชื่อวิทยาศาสตร     Bombax anceps Pierre var. cambodiense (Pierre) Robyns
ชื่อพื้นเมือง งิ้วปา (นครราชสีมา, ประจวบคีรีขันธ, ภาคใต); ไกร (เชียงใหม); นุนปา (ภาคกลาง); งิ้วปาดอกขาว, งิ้วดอกขาว, ไกร (ภาคเหนือ)
ชื่อวงศ   BOMBACACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร
ตน งิ้วปาเปนไมตนขนาดใหญ ผลัดใบ สูง 20 – 30 เมตร ลําตนเปลาตรง มีหนามแหลมคมตามลําตน กิ่งกาน โคนตนมักเปนพูพอน กิ่งแตกเวียนรอบตนลักษณะเกือบตั้งฉากกับลําตน
ใบ ใบประกอบแบบนิ้วมือ มีใบยอย 5 – 7 ใบ ใบยอยรูปรี โคนใบสอบปลายใบเรียวแหลม แผนใบหนาเกลี้ยงทั้งสองดาน
ดอก ดอกออกเปนดอกเดี่ยวหรือออกเปนกระจุก ตามปลายกิ่ง กระจุกละ2 – 3 ดอก กานดอกสั้น กลีบรองดอกเปนรูปถวย สีเขียว ดอกมีสีขาว ออกดอกเดือนมกราคม – กุมภาพันธ
ผล ผลรูปทรงกระบอก ผิวแข็ง ผลแกสีน้ำตาลดํา แกจัดจะแตกอาตามรอยประสาน เมล็ดเล็กรูปกลม สีดํา หอหุมดวยปุยฝายสีขาว ออกผลเดือนกุมภาพันธ – เมษายน
แหลงที่พบ ปาเต็งรัง
สภาพแวดลอมที่เหมาะสม ชอบแสงแดดจัด ขึ้นไดดีในในดินไมอุ้มน้ำ
ฤดูกาลใชประโยชน ฤดูรอน และเก็บดอกแหงไวรับประทานตลอดป
สวนที่ใชเปนอาหาร ดอกสดหรือแหง นํามาลวกหรือตม รับประทานเปนผักกับน้ำพริก หรือนําไปใสน้ำยาขนมจีน ที่คนทั่วไปรูจักดีคือ "ขนมจีนน้ำเงี้ยว"
รส หวาน ฝาดเย็น
การขยายพันธุ เพาะเมล็ด และปกชํา
ประโยชน์  ใช้รักษาแผลน้ำร้อนลวก แก้ร้อนในพิษไข้  เมล็ด รักษาโรคผิวหนัง  ราก บำรุงกำลัง เปลือก แก้ท้องเสีย  บิด  ใยเปลือก ใช้ทำเชือก ปุยนุ่นใช้ยัดที่นอน ใบ ตำเป็นผงทาแก้ฟกช้ำ  เกสรเพศผู้ตากแห้งใส่แกง หรือน้ำเงี้ยว :  เนื้อไม้สีขาว ไม่มีแก่น ใช้ทำเรือขุด หีบและลังใส่ของ ทำก้านและกลักไม้ขีด ไม้จิ้มฟัน และทำเยื่อกระดาษ เมล็ด น้ำมันจากเมล็ดใช้ปรุงอาหาร ทำสบู่ เปลือก ใยจากเปลือกใช้ทำเชือก
ถิ่นกำเนิด  เอเซียเขตร้อน พบขึ้นในที่ราบและป่าเบญจพรรณตามเชิงเขาและไหล่เขา
#13
พรรณไม้ดอง / มะหาด 7-34190-001-004
25 มิถุนายน 2013, 15:40:42 หลังเที่ยง
 
มะหาด   7-34190-001-004 /5
ชื่อวิทยาศาสตร์ Artocarpus lakoocha  Roxb.
วงศ์   PAPILIONACEAE
ชื่ออื่น    กาแย  ขนุนป่า  ตาแป  ตาแปง  มะหาดใบใหญ่     หาดหนุน  หาด
          ลักษณะวิสัยไม้ต้น สูง 15-25 เมตร  ลำต้นตั้งตรง ผิวเปลือกนอกค่อนข้างขรุขระสีน้ำตาลดำ หรือสีเทาแกมน้ำตาล บริเวณเปลือกของลำต้นมักมีรอยแตก และยางไหลซึมออกมาติดต้น ใบ เดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่ หรือรูปยาวรี ปลายแหลม โคนเว้ามน กว้าง 5-12 เซนติเมตร ยาว 8-15 เซนติเมตร ใบอ่อนมีขน ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อยเล็กๆ ใบแก่ขอบมักเรียบ หูใบเรียวแหลม  ดอก ช่อกลมเล็กๆ สีเขียวอมเหลือง ขนาดเล็ก ออกตามง่ามใบ ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่คนละช่อ  แต่อยู่บนต้นเดียวกัน ดอกตัวเมียกลีบค่อนข้างกลมมน โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอด ดอกตัวผู้กลีบเป็นรูปขอบขนานปลายกลีบหยัก ยาว 0.5-1 เซนติเมตร  ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ เมษายน  ผล เป็นผลรวม กลมแป้นใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง 6-8 เซนติเมตร เปลือกนอกผิวขรุขระ เนื้อผลค่อนข้างนุ่ม สีเขียว เมื่อแก่สีน้ำตาลเหลือง เมล็ด แต่ละผลมี 1 เมล็ด  รูปรี ติดผลเดือนมีนาคม - พฤษภาคม
ส่วนที่ใช้ :  แก่นต้นมะหาด อายุ 5 ปีขึ้นไป  ราก เปลือก
สรรพคุณ
แก่น -  ให้ปวกหาด ใช้เป็นยาขับพยาธิตัวตืด และพยาธิไส้เดือน ละลายกับน้ำ ทาแก้ผื่นคัน
แก่นเนื้อไม้ -  แก้ขุกแน่น แก้ท้องขึ้นอืดเฟ้อ ขับลม ผายลม แก้ผื่นคัน แก้ตานขโมย เป็นยาระบาย ถ่ายพยาธิไส้เดือนตัวกลม ถ่ายพยาธิเส้นด้าย ถ่ายพยาธิตัวตืด ขับเลือด แก้ลม ถ่ายพยาธิตัวแบน แก้กระษัย แก้เส้นเอ็นพิการ แก้ท้องผูกไม่ถ่าย
แก่น -  แก้โรคกระษัยไตพิการ แก้กระษัยดาน แก้กระษัยเสียด แก้กระษัยกล่อน แก้กระษัยลมพานไส้ แก้กระษัยทำให้ท้องผูก  แก้ดวงจิตขุ่นมัว ระส่ำระสาย แก้นอนไม่หลับ แก้เบื่ออาหาร แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ปัสสาวะกระปริบกระปรอย ถ่ายพยาธิ  พยาธิตัวตืด แก้ท้องโรพุงโต แก้จุกผามม้ามย้อย แก้ฝีในท้อง แก้ปวด แก้เคือง กระจายโลหิต
ราก -  แก้ไข้ แก้กระษัยเส้นเอ็น ขับพยาธิ แก้ไข้เพื่อฝีภายใน แก้พิษร้อน
เปลือก - แก้ไข้   

#14
พรรณไม้แห้ง / ตะคร้อ 7-34190-001-005
23 มิถุนายน 2013, 12:20:56 หลังเที่ยง
สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้
(สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้ ตั้งแต่หน้า 2-7 และข้อมูลพื้นบ้านหน้า 1 ในลักษณะเรียงความบรรยายพรรณไม้ )
   ชื่อพันธุ์ไม้........ตะคร้อ................รหัสพรรณไม้      7-34190-001-005
   ไม้ต้น  อยู่กลางแจ้ง สูง  35  เมตร   ทรงพุ่มกรวยหรือทรงร่ม   กว้าง  18  เมตร  ลำต้นเหนือดิน  ตั้งตรงได้เอง  ผิวแตกเป็นสะเก็ดหนาๆ ขรุขระ  เปลือกลำต้นสีน้ำตาล ไม่มียาง  ใบประกอบแบบขนนก ปลายคู่ เรียงตรงข้าม บางครั้งเยื้องกัน  สีเขียว ขนาดใบกว้าง  8 – 9 ซม. ยาว  15 – 16 ซม.     ใบอ่อนสีแดง ใบแก่สีเขียว    จำนวนใบย่อย  4 – 8 ใบ  ขนาดแผ่นใบย่อย กว้าง 2.5 – 9 ซม. ยาว 4.5 – 25 ซม.    แผ่นใบอ่อนค่อนข้างบาง สีแดง ใบคู่ล่างเล็กกว่าคู่บน   รูปรี ปลายใบเว้าตื้นถึงมน เป็นติ่งสั้น  โคนใบเบี้ยว  ขอบใบเรียบ ผิวใบด้านบนค่อนข้างเกลี้ยง ด้านล่างมีขน  ดอกช่อกระจุกแยกแขนง  ออก ปลายยอด ลำต้น กิ่ง  กลีบเลี้ยงแยก 4 – 6 กลีบ  สีเขียวอ่อน กลีบดอกไม่มี  เกสรเพศผู้ จำนวน 5 – 9 อัน  สีขาวอมเขียวยาวพ้นกลีบเลี้ยง เกสรเพศเมีย  จำนวน 1 อัน  สีขาวอมเขียว รังไข่เหนือวงกลีบ ผลเป็นผลเดี่ยว  ชนิดผลสด  ผลเมล็ดเดี่ยวแข็ง  สีของผล  ผลอ่อนสีเขียว  ผลแก่สีน้ำตาลอ่อนมีกระสีน้ำตาลแก่ถึงดำ รูปร่างผล ทรงรูปไข่ถึงกลม ปลายผลเป็นติ่งแหลม    เมล็ด   จำนวนเมล็ด 1 – 2 เมล็ด  สีน้ำตาล ดำรูปร่าง ค่อนข้างรี มีเยื้อหุ้มสีเหลือง  มีรอยแยกของเมล็ด

   ปลายเว้าตื้น ถึงมน เป็นติ่งสั้นๆ โคนเบี้ยว ดอก เล็ก สีเหลืองนวล หรือเขียวอ่อน กลิ่นหอม ออกเป็นช่อ
#15
พรรณไม้แห้ง / มะม่วงหิมพานต์ 7-34190-001-040
23 มิถุนายน 2013, 12:08:04 หลังเที่ยง
สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้
(สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้ ตั้งแต่หน้า 2-7 และข้อมูลพื้นบ้านหน้า 1 ในลักษณะเรียงความบรรยายพรรณไม้ )
ชื่อพรรณไม้ มะม่วงหิมมะพานต์   รหัสพรรณไม้  7-34190-001-040
          ไม้ต้น อยู่กลางแจ้ง  สูง 10 – 12 เมตรรูปร่ม   ลำต้นเหนือดินลำต้นตั้งตัวเองได้ผิวแตกเป็นสะเก็ดข้อป้องเห็นไม่ชัดเจน  ต้นอ่อนสีเขียวปนน้ำตาลอ่อน ต้นแก่มีสีน้ำตาลอ่อนๆ ใบเดียว  เรียงเวียน ใบอ่อนสีน้ำตาลแดง ใบแก่สีเขียวแก่ ใบหนาเหมือนแผ่นหนัง เกลี้ยง รูปไข่กลับถึงรูปรีกว้าง   6 ซ.ม. ความยาว 15 ซ.ม.ปลายใบกลม โคนใบแหลม  ขอบใบเรียบ  ดอกช่อแยกแขนงหรือช่อเชิงหลั่น กลีบเลี้ยงสีเขียว 5 กลีบ กลีบดอกสีขาวนวล 5 กลีบ เกสรตัวผู้  9 อัน เกสรเพศเมีย 1 อัน และมีรังไข่อยู่ที่ก้านเกสรตัวเมีย ดอกแยกเพศร่วมต้น สีขาวนวล ดอกมีกลิ่นหอม ใบประดับรูปขอบขนานแกมรูปไข่ สีเขียวอ่อน มีแถบสีแดง  ผลเปลือกแข็งเมล็ดเดียว รูปไต สีน้ำตาลปนเทา เมล็ดรูปไต ส่วนของฐานรองดอกขยายใหญ่ อวบน้ำ รูประฆังคว่ำ มีกลิ่นหอม กินได้เมื่อสุกจะมีสีเหลือง หรือส้มแดง มีความยาวประมาณ 5-11 เซนติเมตร

           ยางจากต้น ทำลายตาปลา และกัดทำลายเนื้อที่ด้านเป็นปุ่มโต   แก้เลือดออกตามไรฟัน เมล็ดรับประทานแก้กลากเกลื้อน  และทำให้เนื้อชาในโรคเรื้อน  ยางมีพิษกัดทำลายเนื้อที่เป็นไต  เช่น  ตาปลา  หูด  น้ำมันในเมล็ด  รักษากลากเกลื้อน  หรือโรคผิวหนังได้  ทางอาหาร  ใบอ่อน  ยอดอ่อนมีรสฝาดเล็กน้อย  ใช้เป็นผักสดจิ้มน้ำพริก  หรือเป็นผักสำหรับอาหารรสจัด  ผลสุกแกงเหลือง  แกงไตปลา  กินสด  ลูกอ่อน  แกงเลียง  ผัด  เมล็ดอ่อนแกงไตปลา  เมล็ดสุกผัด  ยำ  อร่อยมาก