• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

โรงเรียนได้รวบรวม พืชพรรณ นานาชนิดกว่า 600 ชนิด ที่ถูกรวบรวม เรียบเรียงไว้อย่างเป็นระบบ สืบค้นได้ง่าย

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - นนทพล เทศธรรม

#1
ไม้ต้น / ขนุน รหัส 7-34190-001-118
22 มิถุนายน 2013, 15:12:55 หลังเที่ยง
ขนุน รหัส 7-34190-001-118
-ชื่อวิทยาศาสตร์: Artocarpus heterophyllus Lam.
-วงศ์: MORACEAE
-ชื่อสามัญ: Jackfruit Tree
-ชื่ออื่น ๆ มะหนุน หมักหมี๊ หมากลาง Artocarpus heterophyllus Lam.
   ไม้ต้น ขนาดใหญ่ สูง 15 - 30 เมตร ลำต้นและกิ่งเมื่อมีบาดแผลจะมีน้ำยางสีขาวข้นคล้ายน้ำนมไหล ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปรี ขนาดกว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาว 10 - 15 เซนติเมตร ปลายใบทู่ ถึงแหลม โคนใบมน   ผิวในด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน เนื้อใบหนาผิวใบด้านล่างจะสากมือ   ดอก เป็นช่อแบบช่อเชิงสดแยกเพศอยู่รวมกัน ดอกเพศผู้เรียกว่า "ส่า" มักออกตามปลายกิ่ง ดอกเพศเมียจะออกตามกิ่งใหญ่และตามลำต้นยอดเกสรเพศเมีย เป็นหนามแหลม ส่วนของเนื้อที่รับประทานเจริญมาจากกลีบดอก ส่วนซังคือกลีบเลี้ยง ผล เป็นผลรวมมีขนาดใหญ่
-ประโยชน์ ผลอ่อนใช้ปรุงอาหารผลสุกเยื่อหุ้มเมล็ดมีรสหวาน เมล็ดปรุงอาหาร เนื้อไม้ใช้ทำพื้นเรือนและสิ่งก่อสร้าง ครก สากกระเดื่อง หวี โทน รำมะนา ระนาด รากและแก่นให้สีเหลือง ถึงเหลืองอมน้ำตาล ใช้ย้อมผ้าและแพรไหม รากนำมาปรุงเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้ไข้ ใบเผาไฟกับซังข้าวโพดให้ดำเป็นถ่าน แล้วใส่รวมกับก้นกะลามะพร้าวขูด โรยรักษาบาดแผล
#2
ไม้พุ่ม / โกสน รหัส 7-34190-001-106
22 มิถุนายน 2013, 15:07:08 หลังเที่ยง
โกสน รหัส 7-34190-001-106
ชื่อสามัญ: Croton
ชื่อวิทยาศาสตร์: Codiaeum varicgatum.
วงศ์: EUPHORBIACEAE

-ลักษณะทั่วไป
โกสนเป็นพรรณไม้ยืนต้นประเภทไม้พุ่มขนาดย่อมลำต้นมีความสูงประมาณ 3-5 เมตร ผิวลำต้นเรียบสีน้ำตาลปนเทา ลำต้นตรง แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มตรงกลม ใบแตกออกจากต้นและปลายกิ่ง ลักษณะใบมีรูปร่าง สีสันขนาด แตกต่างกันออกไปแล้วแต่ชนิดพันธุ์ ดอกออกเป็นพวงห้อยลงมาด้านล่างซึ่งออกมาจากปลายกิ่งพวงหนึ่งยาวประมาณ1015เซนติเมตรดอกมีสีชาวดอกเล็กมากมีกลียบ
ดอก 5 กลีบ ดอกบานเต็มที่จะเห็นเกสรตัวผู้เป็ฯเส้นฝอย การบานของดอกเป็นรูปทรงกลม
#3
ไม้เลื้อย / กระดุมทองเลื้อย รหัส 7-34190-001-137
22 มิถุนายน 2013, 14:57:36 หลังเที่ยง
กระดุมทองเลื้อย รหัส 7-34190-001-137
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Wedelia trilobata (L.) Hitchc.
ชื่อวงศ์ : ASTERACEAE
ชื่อสามัญ : Climbing wedelia, Creeping daisy, Singapore daisy
ชื่อพื้นเมือง : เบญจมาศเครือ
ลักษณะทั่วไป (Characteristic) :    ไม้คลุมดิน  ลำต้นแตกแขนงทอดเลื้อยไปตามผิวดิน ปลายกิ่งมักชูตั้งขึ้น ลำต้นสีน้ำตาลแดงเรื่อ มีขนประปราย รากแตกตามข้อ
ใบ (Foliage) : ใบเดี่ยว  เรียงตรงข้าม  ใบรูปรีกว้างหรือรูปไข่   กว้าง 2- 5 เซนติเมตร  ยาว 5.5 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบจักเล็กน้อย มีจักเป็นรูปสามเหลี่ยมกลางแผ่นใบทั้ง 2 ข้าง ก้านใบสั้นมาก
ดอก (Flower) : สีเหลือง ออกเป็นดอกเดี่ยวตามซอกใบที่ปลายกิ่ง มีใบประดับรูปรีเรียงซ้อนกัน 2 ชั้น ชั้นละ4-5 ใบ ที่ขอบใบประดับมีขน ดอกวงนอกเป็นดอกเพศเมียมี 8-10 ดอก โคนกลีบดอกวงนอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น   ปลายกลีบแยกเป็น 3 แฉก   ดอกวงในเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีขนาดเล็กกว่าและจำนวนมากกว่า โคนกลีบดอกวงในเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายกลีบแยกเป็น 5 แฉก
ผล (Fruit) :   ผลแห้ง   รูปไข่กลับ  ยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร   ปลายยอดผลมีเยื่อสีขาวรูปถ้วย   เมล็ดล่อน รูปสามเหลี่ยมปลายแหลม สีดำเป็นมัน
การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) :     ปลูกคลุมดินบริเวณพื้นที่ลาดเอียงหรือริมสระน้ำธรรมชาติเพื่อป้องกันการพังทลายของดิน ปลูกบริเวณเกาะกลางถนนแทนหญ้า
#4
ไม้พุ่ม / ผีเสื้อแสนสวย รหัส 7-34190-001-510
22 มิถุนายน 2013, 14:04:55 หลังเที่ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์: Clerodendrum ugandense Prain
ชื่อสามัญ: ผีเสื้อแสนสวย
วงศ์ Verbenaceae
ลักษณะทั่วไป:
-ต้น: เป็นไม้พุ่ม จะสูงประมาณ 1 - 1.5 เมตร พุ่มโปร่ง รูปทรงพุ่มกลม ขนาดพุ่มเป็นกอใหญ่ประมาณ 1 เมตร ลำต้นเมื่อแก่แล้วมีสีน้ำตาลเข้มไปสู่น้ำตาลอ่อน ลำต้นอ่อนออกเป็นสีเขียว
-ใบ: เขียวตลอดทั้งใบ ผิวสัมผัสหยาบ
-ดอก: ดอกเป็นสีฟ้า กับสีฟ้าอ่อนจนแทบขาว เมื่อดอกบานออกมาจะเหมือนผีเสื้อ มีทั้งปีกบนสองปีก ปีกล่างสองปีกข้างลำตัว มีหนวดเป็นเกสรตัวผู้ที่ยาวอย่างอ่อนช้อย
-ฤดูกาลออกดอก: มีดอกตลอดทั้งปี ไม่มีกลิ่นหอม
-สภาพการปลูก: ผีเสื้อแสนสวย ชอบดินร่วนเหนียว ความชื้นปานกลาง แสงแดดเต็มวัน
-การขยายพันธุ์: ขยายพันธุ์โดยการปักชำกิ่ง เพาะเมล็ดและการตอนกิ่ง
-การปลูกและดูแลรักษา: การปลูกผีเสื้อแสนสวยควรปลูกเป็นกอละ 6 ต้นต่อตารางเมตร หรือ 3 ต้นต่อตารางเมตร หรือปลูกเป็นลำต้นเดี่ยวๆ เป็นแถวยาว
ดอกผีเสื้อแสนสวย
-ไม้ พุ่มปานกลางโปร่ง ดอกไม่มีกลิ่นหอม ออกดอกตลอดปี ใบไม่ผลัดใบ ดิน ร่วนเหนียว
-ความชื้น ปานกลาง แสง แดดเต็มวันเติบโต ปานกลางค่อนเร็ว อายุ 5 ปีขึ้นไป
-ขยายพันธุ์ ด้วยการตอน ปักชำกิ่ง เพาะเมล็ด
ต้-นผีเสื้อแสนสวยเป็นชื่อไทย ชื่อฝรั่งเรียกว่า " Blre Butterfly" กำเนิดของต้นไม้ต้นนี้ไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่ไม่น่าจะใช่ไม้ไทย เพราะไม่เคยเป็นที่ไหนมาก่อน มีการปลูกน้อยมาก เป็นไม้หายาก แต่คุ้มค่าที่จะหาและปลูกไว้ประดับบ้าน
-ผีเสื้อแสนสวยเป็นไม้พุ่มโปร่ง เมื่อดอกบานออกมาเหมือนผีเสื้อราวกับแกะ ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์ มีทั้งปีกบนสองปีก ปีกล่างลำตัว แถมยังมีหนวดเป็นเกสรตัวผู้ที่ยาวย่างอ่อนช้อยเสียด้วย
-ความที่ดอกผีเสื้อแสนสวยนี้เหมือนผีเสื้ออย่างมาก ทำให้เด็กๆ ตัวเล็กๆ เข้าใจว่าเป็นผีเสื้อจริงๆ บางคนก็นั่งดูไม่กล้าแตะ บางคนก็ถามว่ามันกัดมั้ย บางคนก็ถามว่าทำไมมันไม่ยอมบินกันเลย บางคนถามว่าจับได้มั้ย ผู้เขียนเลยต้องอธิบายให้ฟังว่า แท้ที่จริงมันคือดอกไม้ ไม่ใช่ผีเสื้ออย่างใด จากนั้นก็เก็บดอกผีเสื้อแสนสวยให้เด็กๆ คนละดอก โดยเอาดอกวางไว้บนใบไม้อีกทีหนึ่ง ซึ่งยิ่งดูเหมือนผีเสื้อตัวจริงใหญ่เลย
-อันว่าต้นดอกผีเสื้อแสนสวยนั้นเป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 1- 1.5 เมตร พุ่มโปร่ง ลำต้นที่แก่แล้วมีสีน้ำตาลเข้มไปสู้น้ำตาลอ่อน ลำต้นอ่อนออกเป็นสีเขียว ส่วนใบเขียวตลอดทั้งใบ ผิวสัมผัสหยาบ รูปทรงพุ่มกลม ขนาดพุ่มเป็นกอใหญ่สัก 1 เมตร ดอกผีเสื้อออกเป็นสีฟ้ากับสีฟ้าอ่อนจนแทบขาว มีดอกตลอดทั้งปี ชอบดินร่วนเหนียว ความชื้นปานกลาง แสงแดดเต็มวัน โรคแมลงไม่มี
-อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง ค่อนข้างรวดเร็วถ้าได้ดินได้น้ำได้แดดอย่างเหมาะสม การปลูกควรปลูกเป็นกอ 6 ต้นต่อตารางเมตร หรือ 3 ต้นต่อตารางเมตร หรือปลูกเป็นลำต้นเดี่ยวๆ เรียงกันเป็นแถวยาวก็ได้
-ลักษณะดอกและใบเหมาะกับบรรยากาศสวนป่ามาก หรือเป็นส่วนหย่อมก็ได้ โคนต้นเมื่อสูงได้ที่แล้วจะโล่งโปร่งจึงควรปลูกไม้คลุมดินอยู่ด้านล่างหรือเหนือโคนต้น
#5
ไม้พุ่ม / สบู่ดำ รหัส 7-34190-001-509
22 มิถุนายน 2013, 13:59:55 หลังเที่ยง
ชื่อสามัญ: Physic nut หรือPurging nut
ชื่อวิทยาศาสตร์ Jatropha curcas L.
วงศ์  Euphorbiaceae
ชื่ออื่นๆ:      ภาคกลาง                เรียก        สบู่ดำ
                ภาคเหนือ                เรียก        มะหุ่งฮั้ว
                ภาคใต้                    เรียก        หงเทศ
                ภาษายาวี                เรียก        ยาเคาะ
                ภาคอีสาน                เรียก        มะเยา หรือสีหลอด
ต้นกำเนิด:                              ทวีปอเมริกาใต้
ปลูกในประเทศไทย:             ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยชาวโปรตุเกส
#6
ไม้พุ่ม / พัดนางชี รหัส 7-34190-001-508
22 มิถุนายน 2013, 13:55:14 หลังเที่ยง
ชื่อสามัญ :   Cola De Gallo 
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Xyphidium caeruleum Aubl. 
วงศ์ :   Haemodoraceae 
ชื่ออื่นๆ :   มือพระนารายณ์ 
ลักษณะพฤกษศาสตร์ :   เป็นไม้คลุมดิน ลำต้นอวบน้ำ เป็นข้อสั้นๆ ทอดเลื้อยแนบไปกับพื้นดินและชูยอดสูงประมาณ 50 - 100 ซม. เกิดรากและแตกกิ่งใหม่ตามส่วนที่แนบกับพื้นดินได้ง่าย เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว การเกาะติดของใบบนกิ่งแบบสลับระนาบเดียว  ใบรูปใบหอก ยาวแกมรูปเคียวแบนขนาดประมาณ 6 x 50 ซม. โดยสันใบอยู่ด้านล่าง ขอบใบอยู่ด้านบน ปลายใบเรียวแหลมคล้ายหาง เส้นใบเป็นเส้นขนานกับความยาวของใบ  ดอกเกิดที่ปลายยอด ออกเป็นช่อแยกแขนงแบบช่อกระจุกด้านเดียว ดอกย่อยสีขาวบานเต็มที่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.50 ซม. มี 6 กลีบแบ่งเป็น 2 ชั้น เกาะติดสลับกัน แต่ละกลีบเป็นอิสระจากกัน เกสรเพศผู้ มี 3 อัน เกาะติดที่ฐานรองดอก เกสรเพศเมีย แบบรังไข่เหนือวงกลีบ ก้านชูยอดเกสรสีขาว รังไข่สีเขียว แบ่งเป็น 3 พู สันแต่ละพูมีขนยาวสีขาวใสเกาะติด ไข่มีจำนวนมาก เกาะติดที่รอบแกนกลางร่วม
   การปลูก :   ปลูกโดยการปักชำ  ใช้กิ่งแก่ กิ่งอ่อนที่ดึงใบออกหมด หรือยอดอ่อนที่มีใบติดอยู่ด้วย โดยตัดกิ่งเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ 10 - 15 ซม. นำไปปักในถุงเพาะชำ หรือในแปลงปลูกเลยก็ได้ นำส่วนโคนของกิ่งที่เตรียมไว้ปักเฉียงประมาณ 40 องศา ลึกเกือบครึ่งหนึ่งของความยาว ถ้าเป็นแปลงปลูกปักกิ่งให้ห่างกันประมาณหนึ่งผ่ามือ เพื่อให้ต้นที่เกิดใหม่เบียดกันแน่นต้นจะตั้งตรงเป็นพุ่มสวยงาม เป็นไม้ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วต้องคอยควบคุมทิศทางให้ดี
การดูแลรักษา :    รดน้ำให้ชุ่มสม่ำเสมอ
เมื่อต้นมากเกินไปเบียดกันแน่นเกินไป ต้นโทรมไม่เป็นพุ่ม ต้องตัดกิ่งออกบ้างโดยตัดให้ชิดดินและห่างกันประมาณจุดละ 1 ศอก
พร้อมกับโรยปุ๋ยมูลวัวแห้งประมาณ 2 กก. ต่อ พื้นที่ 1 ตรม.
การตัดแต่งไม่ต้องเสียดายไม่นานเท่าไหร่ก็แตกใบใหม่
การใช้ประโยชน์ 
ด้านภูมิสถาปัตย์ :    เหมาะกับพื้นที่มุมอาคาร หรือใต้ร่มเงา ที่ได้รับแสงแดดน้อย
เป็นพืชที่ให้ดอกทนนาน และดอกเป็นช่อสีขาวตัดกับสีเขียว ในระดับประมาณ 50 ซม.
เหมาะในการปลูกร่วมกับน้ำตก และแสงเงาจากไฟ เนื่องจากความมันเงาบนใบให้แสงสะท้อนได้ดีและอยู่ในระดับต่ำ
ปลูกร่วมกับสวนหินได้ดี เนื่องจากพืชมีความอ่อนช้อยสูงมากจะไปช่วยขับให้ก้อนหินเด่นชัด
#7
กล้วยไม้ / เอื้องสิงโต รหัส 7-34190-001-507
22 มิถุนายน 2013, 13:49:18 หลังเที่ยง
เอื้องสิงโต
ชื่อท้องถิ่น:  เอื้องสิงโต
ชื่อสามัญ: Orchid
ชื่อวิทยาศาสตร์:    Dendrobium sulcatum Lindl.
ชื่อวงศ์:    ORCHIDACEAE
ลักษณะวิสัย/ประเภท:กล้วยไม้
ลักษณะพืช:   ลักษณะ : ออกดอกเป็นเดี่ยว ก้านดอกยาว ๔-๖ ซม. กลีบบานผายออกกลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีเหลืองครีม มีเส้นสีน้ำตาลตามแนวยาวกลีบค่อนข้างถี่ กลีบเลี้ยงด้านข้างทั้งกลีบมีลักษณะงุ้มเป็นแอ่ง ปลายผายออกดอกขนาด ๓-๔ ซม. ออกดอกเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ มีขนเป็นเส้นยาวรอบโคนหัว มีกล้วยไม้ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับสิงโตสยามอีก ๓ ชนิด แต่พบเห็นได้น้อยกว้างบนหินหรือบนต้นไม้
ปริมาณที่พบ:   น้อย
การ ขยายพันธุ์:      ใช้ส่วนอื่นๆ
อธิบายวิธีการเพาะ/ขยายพันธุ์:   การผสมด้วยเกสร
การใช้ประโยชน์/ส่วนที่นำไปใช้ประโยชน์:   เป็นไม้ประดับ
แหล่งที่พบ:ป่าเทือกเขาเเก้ว ,ป่าคลองป้อม
ข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติม:
ชนิดของเอื้องสิงโต 
สิงโตใบพาย  สิงโตโคร่ง   สิงโตประหลาด หรือ สิงโตงาม   
สิงโตรวงข้าว  สิงโตสมอหิน หรือ สิงโตกรอกตา   
สิงโตก้ามปูแดง  สิงโตนกเหยี่ยวเล็ก  สิงโตพัดเหลือง
ฤดูกาลที่ใช้ประโยชน์ได้   ตามฤดูกาล
#8
ปาล์ม / ปาล์มน้ำมัน รหัส 7-34190-001-506
22 มิถุนายน 2013, 13:45:19 หลังเที่ยง
ปาล์มน้ำมัน
ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Elaeis guineensis  Jacq.
วงศ์ :  Palmae
ชื่อสามัญ : Oil Palm
ชื่ออื่น : มะพร้าวลิง, มะพร้าวหัวลิง  (กลาง) หมากมัน (ปัตตานี)
ลักษณะพฤกษศาสตร์ปาล์มน้ำมัน
        ปาล์มน้ำมันเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและเป็นพืชยืนต้น (perennial crop) ได้จำแนกปาล์มน้ำมันให้อยู่ในวงศ์ (family) Palmae หรือ Arecaceae (monocotyledon) ปาล์มน้ำมันเป็นพืชผสมข้ามประเภทที่มีช่อดอกตัวผู้และตัวเมียอยู่บนต้นเดียวกัน แต่ช่วงเวลาการออกดอกจะไม่พร้อมกัน เป็นพืชดิพลอยด์มีจำนวนโครโมโซม 2n = 2x = 32 และในสกุล (genus) Elaeis ประกอบด้วยปาล์มน้ำมัน 2 ชนิด (species) ได้แก่ ปาล์มน้ำมันชื่อวิทยาศาสตร์ Elaeis guineensis Jacq. ในปัจจุบันเป็นพันธุ์ปลูกเพื่อการค้าเดิมมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาตอนกลางและตะวันตก คำว่า Elaeis มีความหมายตรงกับคำ elaion ซึ่งแปลว่า น้ำมัน ส่วนคำว่า guineensis มีความหมายว่า แหล่งรวบรวมอยู่ที่ ประเทศ Guinea แอฟริกาตะวันตก ลักษณะของปาล์มน้ำมัน E. guineensis ให้ผลผลิตทะลายสูง มีน้ำหนักผล เปลือกนอกต่อผลและผลผลิตน้ำมันสูงส่วนอีก species หนึ่งคือปาล์มน้ำมัน ชื่อวิทยาศาสตร์ Elaeis oleifera มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้และอเมริกากลาง ลักษณะต้นเตี้ยและต้านทานต่อโรคตาเน่า (Lethal bud rot) เปอร์เซ็นต์กรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง (unsaturated fatty acid) ค่าไอโอดีนสูง (iodine value) ประมาณ 77-78% รวมทั้งมีวิตามินเอและวิตามินอีสูงแต่ให้ผลผลิตและปริมาณน้ำมันน้อยกว่าปาล์มน้ำมัน E.guineensis ปัจจุบันมีประโยชน์ในการเป็นเชื้อพันธุกรรมสำหรับปรับปรุงพันธุ์ โดยการผสมข้ามระหว่าง Species
       1. ราก ปาล์มน้ำมันมีระบบรากฝอย รากอ่อนจะงอกออกจากเมล็ดเป็นอันดับแรก เมื่อต้นกล้าอายุได้ประมาณ 2 - 4 เดือน รากอ่อนจะหยุดเจริญเติบโตและหายไป ระบบรากจริงจะงอกจากส่วนฐานของลำต้น ต้นปาล์มที่เจริญเติบโตเต็มที่นั้น ประกอบด้วย รากแรกที่หยั่งลึกลงผิวดินช่วยยึดลำต้นบ้างเล็กน้อย และมีรากสอง สามและสี่ที่แตกแขนงออกมาตามลำดับ ทอดไปตามแนวนอน จะเป็นระบบรากสานกันอย่างหนาแน่นอยู่บริเวณผิวดินระดับลึก 30 - 50 เซนติเมตร
       2. ลำต้น ปาล์มน้ำมันมีลำต้นตั้งตรง มียอดเดี่ยวรูปกรวย ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 - 12 เซนติเมตร สูง 2.5 - 4 เซนติเมตร ประกอบด้วยใบอ่อนและเนื้อเยื่อเจริญ
ต้นปาล์มน้ำมันในระยะ 3 ปีแรกจะเจริญเติบโตทางด้านกว้าง หลังจากนั้นลำต้นจะยืดขึ้นปล้องฐานโคนใบ และข้อจะปรากฏให้เห็นก็ต่อเมื่อปาล์มน้ำมันอายุมากแล้ว ทางใบจะติดอยู่กับลำต้นอย่างน้อย 12 ปี หรือมากกว่านั้นแล้วเริ่มหลุดจากใบล่างขึ้นไปทางใบบนลำต้นมีการจัดเรียงตัวเวียนตามแกนลำต้น รอบละ 8 ทางใบ 2 ทิศทาง คือเวียนซ้ายและเวียนขวา เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้น ประมาณ 20 - 75 เซนติเมตร โดยทั่วไปลำต้นมีความสูงเพิ่มขึ้นประมาณ 35 - 60 เซนติเมตรต่อปี ขึ้นกับสภาพแวดล้อมและพันธุกรรม ปาล์มน้ำมันมีความสูงได้มากกว่า 30 เมตร และมีอายุยืนนานมากกว่า 100 ปี แต่การปลูกปาล์มน้ำมันเป็นการค้า ไม่ควรมีความสูงเกิน 15 - 18 เมตร หรืออายุประมาณ 25 ปี
       3. ใบ ใบของปาล์มน้ำมันเป็นใบประกอบรูปขนนก (pinnate) แต่ละใบแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนแกนกลางที่มีใบย่อยอยู่ 2 ข้าง และส่วนก้านทางใบ ซึ่งมีขนาดสั้นกว่าส่วนแรกและมีหนามสั้น ๆ อยู่ 2 ข้างแต่ละทางมีใบย่อย 100 - 160 คู่ แต่ละใบย่อยยาว 100 - 120 เซนติเมตร กว้าง 4 - 6 เซนติเมตร
       4. ดอก ปาล์มน้ำมัน เป็นพืชผสมข้าม มีดอกเพศเมียและดอกเพศผู้แยกช่อดอกภายในต้นเดียวกัน (monoecious) ที่ตำแหน่งของทางใบมีตาดอก 1 ตา อาจจะพัฒนาเป็นช่อดอกเพศผู้หรือเพศเมีย บางครั้งจะพบว่ามีช่อดอกกะเทยซึ่งมีทั้งดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่รวมกัน (hermaphrodite) การบานของดอกปาล์มน้ำมันแต่ละดอกไม่พร้อมกัน การพัฒนาจากระยะตาดอกจนถึงดอกบานพร้อมที่จะรับการผสม (anthesis) ใช้เวลาประมาณ 33 - 34 เดือน การเปลี่ยนเพศของตาดอก (sex differentiation) จะเกิดขึ้นในช่วง 20 เดือนก่อนดอกบาน ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ช่อดอกจะพัฒนาเป็นช่อดอกเพศเมียเป็นส่วนใหญ่ การผสมเกสรมีลมและแมลงเป็นพาหะ โดยเฉพาะด้วงงวงปาล์มน้ำมัน (Elaeidobius kamerunicus) เป็นแมลงที่ช่วยผสมเกสรที่สำคัญหลังจากการผสมเกสร 5 - 6 เดือน ช่อดอกตัวเมียจะพัฒนาไปเป็นทะลายที่สุกแก่เต็มที่ สามารถเก็บเกี่ยวได้ ดอกตัวเมียมีกาบหุ้ม (bract) เจริญเป็นหนามยาว 1 อัน กาบรอง (bractiole) 2 แผ่นและมีกลีบดอก (perianth) 2 ชั้น ๆ ละ 3 กลีบ ห่อหุ้มรังไข่ 3 พูไว้ ยอดเกสรตัวเมียมี 3 แฉก เมื่อดอกบานแฉกนี้จะโค้งเปิดออก วันแรกกลีบดอกเป็นสีขาว ตรงกลางมีต่อมผลิตของเหลว เหนียว วันต่อมาเปลี่ยนเป็นสีชมพู วันที่ 2 - 3 ของการบานของดอกจะเป็นระยะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการผสมพันธุ์ปาล์มน้ำมันวันที่สามเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนและวันที่สี่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหลังจากผสมเกสรแล้วยอดเกสรตัวเมียจะเปลี่ยนเป็นสีดำและแข็งปาล์มน้ำมันที่โตเต็มที่แล้วช่อดอกตัวเมียมีช่อดอกย่อย ประมาณ 110 ช่อ และมีดอกตัวเมียประมาณ 4,000 ดอก ดอกตัวผู้ที่เจริญเต็มที่ก่อนที่จะบานมีขนาดกว้าง 1.5 - 2 มิลลิเมตร ยาว 3 - 4 มิลลิเมตร ถูกห่อหุ้มด้วยกาบหุ้มรูปสามเหลี่ยม 1 แผ่น มีกลีบดอก 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ มีเกสรตัวผู้ 6 อัน รวมกันอยู่เป็นท่อตรงกลางดอก อับเกสรตัวผู้มี 2 พู ละอองเกสรจะหลุดจากช่อดอกทั้งหมดภายในเวลา 3 วัน ถ้าอากาศชื้นจะใช้เวลามากขึ้น ละอองเกสรจะมีชีวิตอยู่ได้ 7 วัน แต่หลังจากวันที่ 4 ความมีชีวิตจะต่ำลง เมื่อดอกเจริญเต็มที่ช่อดอกย่อยตัวผู้มีขนาดยาว 10 - 20 ซม.หนา 0.8 - 1.5 เซนติเมตร มีลักษณะคล้ายนิ้วมือ ต้นปาล์มน้ำมันที่โตเต็มที่ช่อดอกตัวผู้ 1 ดอกให้ละอองเกสรมีน้ำหนักประมาณ 30 - 50 กรัม
       5. ทะลาย ทะลายปาล์มน้ำมัน ประกอบด้วย ก้านทะลาย ช่อทะลายย่อย และผล ในแต่ละทะลายมีปริมาณผล 45 -70 เปอร์เซ็นต์ ทะลายปาล์มน้ำมันเมื่อสุกแก่เต็มที่ มีน้ำหนักประมาณ 1 - 60 กิโลกรัม แปรไปตามอายุของปาล์มน้ำมัน และปัจจัยสิ่งแวดล้อมแบบการปลูกเป็นการค้าต้องการทะลายที่มีน้ำหนัก 10 - 25 กก. จำนวนทะลายต่อต้นก็มีความแตกต่างเช่นกัน โดยมีสหสัมพันธ์ทางลบกับน้ำหนักทะลาย
       6. ผล ผลปาล์มน้ำมันไม่มีก้านผล (sessile drup) รูปร่างมีหลายแบบ ตั้งแต่รูปเรียวแหลมจนถึงรูปไข่หรือรูปยาวรี ความยาวผลอยู่ระหว่าง 2 - 5 เซนติเมตร น้ำหนักผลมีตั้งแต่ 3 กรัม จนถึงประมาณ 30 กรัม ประกอบด้วยผิวเปลือกนอก (exocarp) ชั้นเปลือกนอก (mesocarp) เป็นเนื้อเยื่อเส้นใย สีส้มแดงเมื่อสุกและมีน้ำมันอยู่ในชั้นนี้ ปาล์มน้ำมันที่ปลูกเป็นการค้าโดยทั่วไปพบว่ามีสีผลที่ผิวเปลือกนอก 3 ลักษณะ คือ เมื่อผลดิบเป็นสีเขียว จะเปลี่ยนเป็นสีส้มเมื่อสุก (light reddish-orange) เรียกลักษณะนี้ว่า virescens โดยทั่วไปพบน้อยกว่าแบบที่ 2 เรียกว่า nigrescens ผลดิบมีสีดำ ปลายผลมีสีงาช้างจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อสุกแล้ว (deep reddish-orange) แบบที่ 3 เรียกว่า albescens มีสีผิวเปลือกเมื่อสุกเป็นสีเหลืองซีด โดยทั่วไปพบน้อยมาก ผลปาล์มน้ำมัน Elaeis guineensis Jacq. อาจปรากฏว่าต้นปาล์มน้ำมันที่มีลักษณะของผลแตกต่างกัน ซึ่งเป็นผลจากยีนควบคุมความหนาของกะลา 1 คู่ (single gene) จำแนกลักษณะผล (fruit type) ได้ 3 แบบ ดังนี้
        1. ดูรา (Dura) มีกะลาหนา 2 - 8 มิลลิเมตร และไม่มีวงเส้นประสีดำอยู่รอบกะลา มีชั้นเปลือกนอกบาง 35 - 60 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล มียีนควบคุมเป็นลักษณะเด่น (dominent) Sh+Sh+
        2. เทเนอรา (Tenera) มีกะลาบาง ตั้งแต่ 0.5 - 4 มิลลิเมตร มีวงเส้นประสีดำอยู่รอบกะลา มีชั้นเปลือกนอกมาก 60 - 90 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล ลักษณะเทเนอรา(Sh+Sh-) เป็นพันธุ์ทาง (heterozygous) เกิดจากการผสมข้ามระหว่างลักษณะดูรากับพิสิเฟอรา
        3. พิสิเฟอรา (Pisifera) ยีนควบคุมลักษณะผลแบบนี้เป็นลักษณะด้อย (recessive, Sh-Sh-) ลักษณะผลไม่มีกะลาหรือมีกะลาบาง มีข้อเสีย คือ ช่อดอกตัวเมียมัก
เป็นหมัน (abortion) ทำให้ผลฝ่อลีบ ทะลายเล็ก เนื่องจากผลไม่พัฒนา ผลผลิตทะลายต่ำมาก ไม่ใช้ปลูกเป็นการค้าการที่มีต้นพิสิเฟอราปรากฏในสวนปาล์มน้ำมันลูกผสม
เทเนอราที่ปลูกเป็นการค้า เป็นตัวบ่งชี้ว่าเมล็ดพันธุ์ปาล์มน้ำมันนั้น มาจากแหล่งผลิตที่มีการผลิตลูกผสมที่ไม่ได้มาตรฐานช่อดอกตัวเมียมี 2 ลักษณะ คือ female fertile และ female infertile มักพบว่าต้นพิสิเฟอราที่มีการพัฒนาของผลมาจากช่อดอกแบบ female infertile จะมีทะลายฝ่อและลำต้นใหญ่มาก ส่วนลักษณะ female fertile
#9
ไม้ล้มลุก / ขี้อ้น รหัส 7-34190-001-345
22 มิถุนายน 2013, 13:37:27 หลังเที่ยง
ชื่อ หญ้าหัวยุ่ง
2.ชื่ออื่น ผักกระชับ ขี้อ้น เกี๋ยงนา มะขะนัดน้ำ ขี้ครอก ขี้อ้นน้ำ ขี้อ้นดอน
3.ชื่อวิทยาศาสตร์ Xanthium strumarium Linn.
4.วงศ์ COMPOSITAE
5.ชื่อสามัญ Cocklebur , Burweed
      ชื่ออื่น ขอบจักวาล ครอบจักรวาล คืนหน แสงอาทิตย์ หัสคุณดอกแดง ลักษณะ ไม้พุ่ม ลำต้นตั้งตรงหรือกึ่งทอดเอน สูง 30 - 100 ซม. มีขนรูปดาวทั่วไปทั้งลำต้นและใบ และมักจะมีสีแดงเรื่อ โดยเฉพาะต้นที่ขึ้นอยู่กลางแจ้ง ใบรูปไข่ถึงรูปหัวใจ หรือรูปโล่ ยาว 3 - 8 ซม. ขอบจักฟันเลื่อย ดอกเป็น ช่อกระจุกตามซอกใบและปลายกิ่งมีริ้วประดับรูประฆังปลายแยก 5 แฉก กลีบดอกรูปไข่ถึงเกือบกลม 5 กลีบ สีชมพูอ่อน ชมพูปนม่วงแดงเรือ หรือชมพูแดง ผลกลมแป้นแบ่งเป็น 5 พูเมื่อแก่แห้งและแตก
มีรายงานสรรพคุณลักษณะยาพื้นบ้านว่าผลใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรคปวดศีรษะ และลดไข้ ส่วนของรากใช้รักษาโรคคอพอก (อนึ่งสรรพคุณนี้ยัง ไม่มีรายงานการทดลองที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์) นอกจากนี้ส่วนของใบยังให้สีเหลือง
     นอกจากสรรพคุณยาพื้นบ้านตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ต้นกระชับยังให้สารธรรมชาติที่มีคุณสมบัติของสารอลิโลพาธิค ซึ่งเป็นอันตรายต่อพืชบางชนิด ในทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ส่วนของผลจะติดไปกับขนสัตว์ทำให้คุณภาพของขนสัตว์ลดลง นอกจากนี้ยังเป็นพิษหรืออันตรายต่อสัตว์เมื่อบริโภคส่วนของผล ในแง่มุมการเป็นวัชพืชนั้นมีรายงานว่าต้นกระชับที่ระบาดในไร่ถั่วเหลืองนาน 4-6 สัปดาห์ จะมีผลทำให้ผลผลิตของถั่วเหลืองลดลง 10-80%
#10
หญ้า / หญ้าแห้วหมู รหัส 7-34190-001-344
22 มิถุนายน 2013, 13:32:04 หลังเที่ยง
ชื่อสามัญ :   Nut grass, Cocograss  ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Cyperus rotundus Linn. ชื่ออื่นๆ :   แห้วหมู  หญ้าขนหมู   วงศ์ :   Cyperaceae  ถิ่นกำเนิด :   -
ลักษณะพฤกษศาสตร์ :   
เป็น พรรณไม้ล้มลุก  มีลำต้นอยู่ใต้ดินมีลักษณะเป็นหัวกลมมีตาจำนวนมาก  และสามารถแทงไหลไปได้ไกลแล้วเกิดหัวใหม่เจริญขึ้นเป็นต้นเหนือดิน ลำต้นสั้น ใบเกิดที่ลำต้นชิดแน่นโดยเป็นกาบใบหุ้มซ้อนม้วนทับกันชูขึ้นเหมือนลำต้น แล้วแผ่เป็นแผ่นใบแบนรูปแถบยาวปลายแหลม กลางใบเป็นสันร่องผิวใบเรียบสีเขียวเข้ม กว้างประมาณ 0.5 เซนติเมตร ยาว 25 เซนติเมตร ดอกเกิดที่ปลายยอด ก้านช่อดอกเป็นรูปเหลี่ยมสีเขียวเข้มแทงขึ้นสูง ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร แล้วแตกเป็นช่อย่อยอีกหลายช่อ ดอกย่อยสีน้ำตาลจำนวนมาก ผลรูปขอบขนาน ปลายแหลมสีน้ำตาลหรือสีดำ
ประโยชน์
๑.   แก้ไข้ได้ดี  ทั้งต้นทั้งหัว ล้างสะอาดต้มน้ำดื่ม
๒.   แก้โรคบิด  เอาหัวแห้วหมู บดกับขิงแก่ปั้นเป็นลูกยาลูกกลอน ผสม น้ำผึ้งแท้
๓.   แก้ปัสสาวะขัด  หัวหญ้าแห้วหมูสดๆ ล้างให้สะอาด ตากแห้งบด ละเอียดปั้นลูกกลอนกิน แก้ปัสสาวะขัดดีมาก
๔.   แก้ผื่นคัน  หัวแห้วหมูบดละเอียด ผสมน้ำมันมะพร้าวเล็กน้อย ทา ที่เป็นบ่อยๆ จะทุเลาลง จนหายไปในที่สุด
๕.   รักษาแผลสด  ใช้ต้นและใบหญ็าแห้วหมู โขลกใส่น้ำปูนใสเล็ก น้อยเอามาพอกแปะกดที่แผลเลือดจะหยุดไหล
๖.   บำรุงธาตุ  ใช้ หัวแห้วหมู ๑ ฝ่ามือ ต้มเอาน้ำดื่มแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ใช้เป็นยาเจริญอาหาร ขาวเปอร์เซียร์ใช้หัวแห้วหมู ๖-๘ หัวบดกับขิงแ่ีก่ ๔-๕ แว่น ผสมกับน้ำผึ้ง กินเป็นยาขับลมในลำไส้ แก้ ปวดท้อง
๗.   ยาอายุวัฒนะ   ใช้หัวหญ็าแห้วหมูล้างน้ำให้สะอาด เคี้ยวกินหรือ ทุบให้แหลกและไปคั่วไฟ ชงกินต่างน้ำชา จะทำให้หายปวดเมื่อย ฟันแน่นแย็งแรง ไม่ชรา ดวงตาสว่างไสวดี แม้อายุจะมาก หรือใข้หัว แห้วหมูแห้ง ๔ ส่วน พริกไทย ๑ ส่วน ลูกแป้ง ๑ ส่วน โขลกละเอียดปั้น น้ำผึ้งเม็ดเท่าพุทรา กินวันละ ๒ เม็ด เช้าและก่อนนอน
๘.   ลดไขมัน  เอาหัวแห้วหมูทั้งหัว หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้ง คั่วไฟให้เหลือง ใช้ชงกับน้ำร้อนกินต่างน้ำชา
ระงับอาการหอบหืด  เพราะมีฤทธิ์ต้านการทำงานของสาร ฮิสตามิน
#11
หญ้า / หญ้าลูกข้าว รหัส 7-34190-001-343
22 มิถุนายน 2013, 13:27:35 หลังเที่ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์   Borreria laevicaulis (Miq.) Ridl.
วงศ์    RUBIACEAE
ไม้ล้มลุก ลำต้นตั้งตรง สูง 15-40 ซ.ม.
ใบ เดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปใบหอกหรือรูปขอบขนานแกมใบหอก กว้าง 1-2 ซ.ม. ยาว 3-6 ซ.ม. แผ่นใบสีม่วงแกมน้ำตาล มีขนเล็กน้อยทั้งสองด้าน หูใบอยู่ระหว่างก้านใบ
ดอก ช่อ ออกที่ซอกใบ ดอกย่อยจำนวนมาก เรียงตัวอัดกันแน่นเป็นรูปครึ่งทรงกลม กลีบดอกสีขาว เชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้นๆ
ผล สด รูปทรงกลม
ยา พื้นบ้านล้านนาใช้ ทั้งต้น ประมาณ 2 ก.ก. ผสมมะกรูด 30 ผล มะนาว 30 ผล ผักเป็ดแดงทั้งต้น 2 ก.ก. แก่นสลัดได 0.5 ก.ก. เกลือพอประมาณ ดองกับน้ำซาวข้าวดื่มน้ำ แก้โรคผอมแห้ง
#12
ไม้ล้มลุก / บานไม่รู้โรยป่า รหัส 7-34190-001-342
22 มิถุนายน 2013, 13:21:19 หลังเที่ยง
ชื่อสามัญ  Wild globe everlasting, Gomphrena weed
ชื่อวิทยาศาสตร์   Gomphrena celosioides Mart.
วงศ์     AMARANTHACEAE
ลักษณะทั่วไป ป็นไม้ล้มลุกช่อดอกมีสีขาว  ชมพู  แดง  ม่วง และเหลือง  กลีบเลี้ยงลักษณะแห้งแข็ง  ดอกบานเวลากลางวันจะหุบเวลากลางคืน
การแพร่ระบาด  เมล็ดที่แก่จัดตกลงบนดินที่มีความชื้นพอเพียง
การป้องกันกำจัด
ในกรณีที่ไม่ใช้สารเคมี อาจทำได้โดยรดน้ำให้ดินนิ่มและทำการถอนให้โคนต้นหลุดออกจากดิน หากมีจำนวนมากไม่สามารถถอนได้หมดในคราวเดียว ควรตัดต้นออกก่อนที่ดอกจะแก่ สามารถควบคุมการแพร่กระจายได้ระดับหนึ่งใน กรณีใช้สารเคมี แนะนำให้ใช้สารเคมีประเภทดูดซึม เช่น ไกลโฟเซต (48% เอสแอล) การใช้สารเคมีประเภทนี้ควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เนื่องจากเป็นสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้มาก อัตราที่ใช้ 70 - 80 ซี.ซี. ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่ว และเพื่อให้ได้ผลในการกำจัดควรใช้ร่วมกับสารจับใบเพื่อการเกาะติดของสาร เคมีกับใบพืช
ประโยชน์
ต้น  แก้กามโรค หนองใน ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว แก้ระดูขาว ราก แก้โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ขับนิ่ว
#13
ไม้พุ่ม / กรดน้ำ รหัส 7-34190-001-341
22 มิถุนายน 2013, 13:11:54 หลังเที่ยง
วิทยาศาสตร์ : Scoparia dulcis L.
ชื่อวงศ์ : SCROPHULARIACEAE
ชื่อสามัญ : Macao Tea
ชื่อพื้นเมือง : กรดน้ำ กระต่ายจามใหญ่ กัญชาป่า มะไฟเดือนห้า (กรุงเทพฯ), ขัดมอนเทศ (ตรัง), ขัดมอนเล็ก หนวดแมว (ภาคกลาง), ข้างไลดุ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ตานซาน (ปัตตานี), เทียนนา (จันทบุรี), ปีกแมงวัน ผักปีกแมลงวัน (กาญจนบุรี), หญ้าจ้าดตู้ด หญ้าหัวแมงฮุน (ภาคเหนือ), หญ้าพ่ำสามวัน (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), หูปลาช่อนตัวผู้ (ตราด), ต้อไม้ลัด (สิงห์บุรี), หญ้าขัดหิน ยูกวาดแม่หม้าย (ภาคเหนือ)ชื่อ
ลักษณะ พืชฤดูเดียว สูง 25-60 ซม.ลำต้นเป็นสันผิวเกลี้ยง ใบ เดี่ยวรูปไข่กลับ กว้าง 4-8 มม. ยาว 7-20 มม.ติดแบบตรงข้ามหรือเวียนรอบข้อ ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย หลังใบเกลี้ยงท้องใบมีขนตามเส้นใบ ดอก แยกเพศออกตามซอกใบ ก้านดอกยาว0.5- 1 ซม. กลีบเลี้ยงแยกกัน 4 กลีบกลีบดอกจำนวน 4 กลีบ โคนกลีบสีม่วงเข้ม มีขนสีขาวคลุม เมื่อบานเต็มที่กลีบดอกจะลู่ไปทางด้านหลัง เกสรเพศผู้ 4 อัน รังไข่ อยู่เหนือกลีบดอกรูปไข่ ผล เป็นฝักรูปไข่ หรือค่อนข้างกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3 มม. มีสีน้ำตาลเหลือง เมล็ดเป็นเหลี่ยมรูปทรงไข่สีน้ำตาล
ประโยชน์ : ใบและลำต้นมีสาร amellin ซึ่งในอินเดียใช้แก้โรคเบาหวานได้ ในฟิลิปปินส์ดื่มน้ำต้มจากรากแก้ไข้และขัดเบา น้ำชงจากใบใช้ดื่มแก้อาการผิดปรกติของระบบลำไส้ ในมาเลเซียใช้แก้ไอ
สรรพคุณ :
-ใบ ใช้ขับระดูขาว แก้ไอ ลดไข้ บำรุงธาตุ แก้ปวดฟัน หลอดลมอักเสบ
-ลำต้น ลดอาการเป็นหัด คอเจ็บ จุกเสียด อาเจียน แก้ไอ ลดไข้ ท้องเดิน ท้องเสีย ปวดท้อง ลำไส้อักเสบ แก้ผื่นคัน แก้ขัดเบา แก้ขาบวมจากการเป็นเหน็บชา ลดอาการบวมน้ำจากปัสสาวะ
-ราก ขับปัสสาวะ ลดไข้ แก้ปวดศีรษะ เป็นต้น