• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

พืชพรรณต่างๆ มีภาพประกอบ และจัดเป็นหมวดหมู่ตามลักษณะวิสัย ค้นหาได้ง่าย

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - อโนชา เยื่อใย

#1
ไม้ต้น / มะม่วงหิมพานต์7-34190-001-040
22 มิถุนายน 2013, 10:40:44 ก่อนเที่ยง
มะม่วงหิมพานต์7-34190-001-040
ชื่อวิทยาศาสตร์'  Anacardium occidentale' L.
วงศ์ ANACARDIACEAE   
มะม่วงหิมพานต์ (Anacardium occidentale) เป็นไม้ดอกยืนต้น ในวงศ์Anacardiaceae มะม่วงหิมพานต์เป็นพืชพื้นเมืองของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล ซึ่งเรียกเป็นภาษาโปรตุเกสว่า Caju (ผล) หรือ Cajueiro (ต้น) ปัจจุบันเติบโตแพร่หลายทั่วไปในภูมิภาคเขตร้อน เพื่อใช้ประโยชน์จากเมล็ด และผลของมัน
Anacardium occidentale, จาก Medicinal-Plants ของ Koehler (1887)
มะม่วงหิมพานต์เป็นไม้ไม่ผลัดใบ ลำต้นมีความสูง 10-12 เมตร ต้นเตี้ย สยายกิ่งก้านไม่สม่ำเสมอ ใบจัดเรียงเป็นแบบเกลียว ผิวมันลื่น รูปโค้งจนถึงรูปไข่ ความยาว 4-22 เซนติเมตร และกว้าง 2-15 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ส่วนดอกนั้นเกิดจาก ที่ยาวถึง 26 เซนติเมตร แต่ละดอกตอนแรกมีสีเขียวซีด จากนั้นสีสดเป็นแดงจัด มี 5 กลีบ ปลายแหลม เรียว ยาว 7-15 มิลลิเมตร
ส่วนที่จะปรากฏไปเป็นผลของมะม่วงหิมพานต์นั้น ก็คือ ผลวิสามัญ (accessory fruit) รูปไข่ หรือรูปลูกแพร์ ซึ่งจะเติบโตจากฐานดอกขึ้นมา ผลมะม่วงหิมพานต์นี้มีชื่อเรียกในแถวอเมริกากลางว่า marañón เมื่อสุกจะมีสีเหลือง หรือส้มแดง มีความยาวประมาณ 5-11 เซนติเมตร
ผลแท้ของมะม่วงหิมพานต์นั้นเป็นผลเมล็ดเดียว รูปไต หรือรูปนวมนักมวย งอกออกจากปลายของผลเทียม ความจริงแล้วในตอนแรกผลนั้นเติบโตบนต้นก่อน จากนั้นก้านดอกจะขยายตัวออกมาเป็นผลเทียม ภายในผลแท้นั้น เป็นเมล็ดเดี่ยว แม้ว่าโดยทั่วไปจะมองว่าส่วนเนื้อขาวนวลนั้นเป็นเผลที่มีเปลือแข็ง (nut) แต่ในทางพฤกษศาสตร์ถือว่า เป็นเมล็ด (seed) อย่างไรก็ตาม ส่วนของผลแม้นั้น นักพฤกษศาสตร์บางท่านถือว่าเป็นผลที่มีเปลือกแข็งก็มี เมล็ดนั้นห่อหุ้มด้วยเปลือกสองชั้น ประกอบด้วย ยางฟีโนลิก (caustic phenolic resin) น้ำมัน urushiol, พิษที่ระคายเคืองต่อผิวหนังอย่างรุนแรง (พบได้ในพืชจำพวกไอวี่พิษ (poison-ivy ด้วย)) บางคนแพ้มะม่วงหิมพานต์ แต่ปกติถือว่าก่อให้เกิดอาการแก้น้อยกว่าผลเปลือกแข็งชนิดอื่นๆ


#2
ไม้พุ่ม / กระบือเจ็ดตัวหรือลิ้นกระบือ7-34190-001-039
22 มิถุนายน 2013, 10:39:39 ก่อนเที่ยง
7-34190-001-039   กระบือเจ็ดตัว/ลิ้นลิ้นกระบือ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Excoecaria cochinchinensis Lour.
var. cochinchinensis
ชื่อวงศ์ : EUPHORBIACEAE         
ชื่อสามัญ : Picara
ชื่อพื้นเมือง :   กะเบือ   ใบท้องแดง   กระบือเจ็ดตัว กำลังกระบือ
ชนิดพืช [Plant Type] : ไม้พุ่ม
ขนาด [Size] : สูง 0.5-1.5 เมตร
สีดอก [Flower Color] : สีเหลืองอมเขียว
ฤดูที่ดอกบาน [Bloom Time] : ฤดูฝน
อัตราการเจริญเติบโต [Growth Rate] : เร็ว
ลักษณะนิสัย [Habitat] : ขึ้นได้ในดินทั่วไป
ความชื้น [Moisture] : ปานกลาง-สูง
แสง [Light] : แดดเต็มวัน-รำไร
ลักษณะทั่วไป (Characteristic) : ไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นสีเขียวอมม่วงแดง แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่นทึบ
ใบ(Foliage) : ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปรีหรือรูปไข่ กว้าง 2-4.5 เซนติเมตร ยาว 4-13 เซนติเมตร ปลายใบแหลม   โคนใบสอบ   ขอบจักฟันซี่เกือบเรียบ ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ผิวใบด้านล่างสีม่วงแดงหรือม่วงน้ำตาล
ดอก (Flower) : สีเหลืองอมเขียว ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกตามซอกใบที่ปลายกิ่ง ช่อดอกยาว 1- 2 เซนติเมตรดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น ช่อดอกเพศผู้มีดอกเล็กๆจำนวนมาก ดอกเพศเมียสั้นกว่าช่อดอกเพศผู้และมีต่อมเล็ก ๆ กลีบดอก 3 กลีบ
ผล (Fruit) : ผลแห้งแตก ค่อนข้างกลม มีขนาดเล็ก มี 3 พู
การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) : ปลูกเป็นกลุ่มหรือในแปลงประดับสวนทั่วไปทั้งสภาพแสงมากและน้อย เป็นไม้พุ่มที่นิยมใช้กันมาก
ประโยชน์ :  ใบใช้ขับน้ำคาวปลาหลังการคลอด

#3
ไม้ต้น / ลีลาวดีหรือลั่นทม7-34190-001-038
22 มิถุนายน 2013, 10:37:20 ก่อนเที่ยง
 
ลั่นทม   (Lanthom)  Temple tree , Pagoda tree , Frangipani
ชื่อวิทยาศาสตร์   Plumeria acuminata Art.
Sym.:P. actifolia Poir. , P. rubra Linn.var.Actifolia Bailey.
วงศ์   APOCYNACEAE
ชื่ออื่นๆ      กะเหรี่ยง กาญจนบุรี : จงป่า (Chong-pa)
ภาคเหนือ : จำปาลาว (Champa-lao)อีสาน : จำปาขาว (Champa-Khao)เขมร : จำไป (Cham-pai)ภาคใต้ : จำปาขอม (Champa-khom)ยะลา : ไม้จีน (Mai-Chin)มลายู-นราธิวาส : มอยอ (Mo-yo)
ถิ่นกำเนิด    เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ อินเดีย
ลักษณะทั่วไป (Characteristic) :   ไม้ต้นขนาดเล็ก  ผลัดใบ เรือนยอดรูปไข่หรือรูปร่ม แผ่กว้าง เปลือกสีน้ำตาล
ปนเทา ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางสีขาว
ใบ (Foliage) :  ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ รูปใบหอกป้อมสั้นกว่าลั่นทมขาว กว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาว 20- 30 เซนติเมตร ปลายใบมน โคนใบมนหรือสอบ แผ่นใบหนา ผิวใบด้านบนสีเขียวเป็นมันด้านล่างมีขน
ดอก (Flower) : สีแดง หรือมีหลายสีในดอกเดียวกัน  มีกลิ่นหอม  ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกที่ซอกใบบริเวณ
ปลายกิ่ง  ช่อละ 8-16 ดอก กลีบดอกมีทั้งที่ซ้อนเหลื่อมและไม่ซ้อนเหลื่อมกัน โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด ภาย
ในมีขน ปลายแยกเป็น 5 แฉก   ดอกบานเต็มที่กว้าง 6-8 เซนติเมตร
ผล (Fruit) :  ผลแห้งแตก  เป็นฝักคู่ กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร  มีเมล็ดจำนวนมาก  แบน มีปีกสีขาว
สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา
ยางและแก่น-ใช้เป็นยาถ่ายพิษทั้งปวง ถ่ายเสมหะและโลหิต แก้กามโรค แก้ปวดฟัน
ใบ-ลนไฟให้ร้อนพอพอกแก้ปวดบวม ชงน้ำร้อนใช้รักษาหิด
เนื้อไม้-แก้ไอ
ราก-เป็นยาถ่าย และทำให้แท้งได้
เปลือกราก-ใช้เป็นยาถ่าย แก้โรคข้ออักเสบ
การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) :    ทรงพุ่มสวย  ดอกสวยมีกลิ่นหอม  ปลูกประดับในที่สาธารณะ วัด สถานที่ราชการ ริมทะเล รีสอร์ท ทนแล้ง
ประโยชน์ :  เปลือกต้น  แก้ไข้ ยาถ่ายขับระดู แก้ปวดฟัน แก้คัน เนื้อไม้ แก้ไอ ขับพยาธิ แก่น คุมกำเนิด  ถ่ายพิษ
แก้ผิวหนัง ใบ แก้บาดทะยัก แก้ปวดบวม รักษาหืด