• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

พืชพรรณต่างๆ มีภาพประกอบ และจัดเป็นหมวดหมู่ตามลักษณะวิสัย ค้นหาได้ง่าย

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - วนิดา ทาประจิตร

#1
ไม้ต้น / ฝ้ายคำ สุพรรณิการ์ รหัส 7-34190-001-568
22 มิถุนายน 2013, 11:06:57 ก่อนเที่ยง
ฝ้ายคำ  สุพรรณิการ์
วงศ์ : COCHLOSPERMACEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ :

Cochlospermum religiosum (L.) Alston
Cochlospermum regium (Mart. & Schrank) Pilg.(ฝ้ายคำซ้อน)
Cochlospermum gossypium De Candole
(Syn. Maxmiliana gossypium Kuntze หรือ Bombax gossypium L.)
ชื่อสามัญ : Yellow Silk Cotton, Butter-Cup (Single), Butter-Cup (Double),Torchwood

เป็นต้นไม้ผลัดใบสูง 7-15 เมตร กิ่งก้านคดงอ ใบรูปหัวใจ แผ่นใบแยกเป็น 5 แฉก
ขอบใบเป็นคลื่น ดอกเป็นช่อออกกระจายที่ปลายกิ่ง บานทีละดอก ดอกเหลืองมีกลิ่น กลีบบาง
เกสรสีเหลือง รังไข่มีขน ผลกลมเมื่อแก่แตก 3-5 พู ภายในมีเมล็ดรูปไตสีน้ำตาล
หุ้มด้วยปุยขาวคล้ายปุยฝ้าย ออกดอกเกือบตลอดปี ดอกดกมาก ราวกุมภาพันธ์-เมษายน
มีถิ่นกำเนิดในอินเดียทางตะวันตกเฉียงเหนือของภูเขาหิมาลัย และเป็นไม้พื้นเมือง ของพม่าด้วย
ในศรีลังกามักปลูกบริเวณพระอุโบสถ เป็นดอกไม้บูชาพระ
ในเมืองไทยทางเหนือ เรียกว่า ฝ้ายคำ นำเข้ามาประเทศไทยกว่า 50 ปีมาแล้ว
เป็นต้นไม้ประจำจังหวัด นครนายก
เป็นดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยรามคำแหง

อ้างอิง
พรรณไม้ในสวนหลวง ร.9. 2531. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสวนหลวง ร.9.
สารานุกรมไม้ประดับในประเทศไทย. 2524. กรุงเทพฯ : กองบรรณาธิการบ้านและสวน.
อำนวย ปิ่นรัตน์. 2516. ดอกไม้เมืองไทย เล่ม 2. กรุงเทพฯ : วีรธรรม.
http://www.nikhomwit.net/supannika
---------------------------------------------------
ชอบดอกนี้.และก็เห็นพี่เจี๊ยบ http://pijitchon.multiply.com ถ่ายมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
ปีนี้..เอามาลงอีกหลายอัลบั๊ม....ยิ่งกระตุ้นต่อมอยากมากยิ่งขึ้น......
พยายามหาแต่ก็ไม่เจอซักที..เมื่ออาทิตย์ก่อนผ่านไปแถวบางพระเจอหลายต้น
แต่ก็ไม่ได้เอากล้องไป.....วันนี้..ไปเก็บมาซะหน่อย

http://pintara.multiply.com/photos/album/105/105
#2
ไม้พุ่ม / มะอึก รหัส 7-34190-001-569
22 มิถุนายน 2013, 10:55:14 ก่อนเที่ยง
มะอึก
ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Solanum stramonifolium  Jacq.
วงศ์ :   Solanaceae
ชื่ออื่น :  มะเขือปู่ มะปู่ (ภาคเหนือ)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :  ไม้พุ่ม สูง 1-2 เมตร ทุกส่วนมีขนละเอียดสีน้ำตาลอ่อนปกคลุม ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปไข่กว้าง กว้าง 15-25 ซม. ยาว 20-30 ซม. โคนใบเว้าหรือตัด ขอบใบหยักเว้าเป็นพู แผ่นใบสีเขียว มีขนทั้งสองด้าน ดอก ออกเป็นช่อกระจุกที่ซอกใบ ดอกสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน ปลายแหลม เกสรเพศผู้สีเหลือง เป็นเส้นรวมเป็นยอดแหลม ผล รูปทรงกลม ขนาด 1.8-2 ซม. ผิวมีขนยาวหนาแน่น ผลสุกสีเหลืองแกมน้ำตาล เมล็ดแบน มีจำนวนมาก
ส่วนที่ใช้ :  ผล  ใบ  ราก  เมล็ด
สรรพคุณ :
•   ผล  -  เป็นอาหาร กัดฟอกเสมหะ แก้ไอ
•   ใบ - เป็นยาพอก แก้คัน
•   ราก - แก้ปวด แก้ไข้ พอกแก้คัน
•   เมล็ด - แก้ปวดฟัน (โดยเผาสูดดมควันเข้าไป) 
#3
ไม้ต้น / โมกหลวง 7-34190-001-570
22 มิถุนายน 2013, 10:49:35 ก่อนเที่ยง
โมกหลวง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Holarrhena pubescens   Wall.ex G.Don   
ชื่อวงศ์ : APOCYNACEAE   
ชื่ออื่นๆ : โมกหลวง มูกหลวง ยางพุด
ลักษณะ :
ไม้ต้น สูงได้ถึง 15 เมตร ทุกส่วนมียางขาว ใบ เดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรีหรือรูปรีแกมขอบขนาน กว้าง 4-8 ซม. ยาว 5-15 ซม. ดอก สีขาว กลิ่นหอม ออกเป็นช่อ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ ขนาดเล็ก ยาว 1.5-2 มม. มีขนทั้ง 2 ด้าน กลีบดอกเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 กลีบ กว้าง 4-7 มม. ยาว 1-1.5 ซม. มีขนทั้งสองด้าน ผล แห้งแตก กว้าง 3-6 มม. ยาว 20-30 ซม. เมล็ดมีขน
     การกระจายพันธุ์ : พบตามป่าเต็งรัง ที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,000 เมตร ออกดอกเดือน ก.พ.-เม.ย. ผลแก่เดือน ก.ย.-พ.ย.       
ประโยชน์ :
ชาวบ้านนิยมนำดอกไปถวายพระ ยาง ใช้รักษาแผลเน่าเปื่อย    ข้อมูลจาก : ไม้ต้นในสวน Tree in the Garden
http://www.qsbg.org/database/botanic_book%20full%20option/search_detail.asp?Botanic_ID=1738


โมกใหญ่

ชื่ออื่น :    โมกหลวง
ชื่อวิทยาศาสตร์ :    Holarrhena pubescens Wall.ex G.Don
ชื่อวงศ์ :    วงศ์โมก (APOCYNACEAE)

ช่วงที่ดอกหอม :    ตลอดวัน
ช่วงที่ดอกบาน :    มีนาคม - เมษายน

ลักษณะ :    ไม้ต้นขนาดเล็ก  สูง 5 - 10 เมตร
   มีเปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อน  ทุกส่วนมียางสีขาว
   ใบเดี่ยวออกตรงข้าม  รูปไข่  ปลายเรียวแหลม
   หรือเป็นติ่งแหลม  ผิวใบด้านล่างมีขนอ่อนนุ่ม
   ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งสีขาว  มีดอกย่อย
   จำนวนมาก  บานเกือบพร้อมกันทั้งช่อ
   กลีบดอกมี 5 กลีบ  เวียนเรียงขวา

การขยายพันธุ์ :   เพาะเมล็ด  ปลูกลงแปลงกลางแจ้ง
   ต้องการความชื้นน้อย
การใช้ประโยชน์ :    ปลูกเป็นไม้ประดับ  เปลือกต้นแก้บิดแก้เสมหะ
http://www.nrru.ac.th/web/plant_flower/body/37.htm

ต้นโมกหลวง หรือ โมกใหญ่ Holarrhena pubescens
(1/1)
Montela_Hoya:

ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Holarrhena pubescens  Wall. ex G. Don

วงศ์ :   APOCYNACEAE

ชื่อ อื่น :  ซอทึ, พอแก, ส่าตึ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); พุด (กาญจนบุรี); พุทธรักษา (เพชรบุรี); มูกมันน้อย, มูกมันหลวง, มูกหลวง, โมกเขา, โมกทุ่ง, โมกหลวง (ภาคเหนือ); โมกใหญ่ (ภาคกลาง); ยางพูด (เลย); หนามเนื้อ (เงี้ยว-ภาคเหนือ)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :  ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 5-10 เมตร ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางสีขาว ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม กว้าง 3.5-14 ซม. ยาว 7-30 ซม. ก้านใบยาว 0.4-1.2 ซม. แผ่นใบบางคล้ายกระดาษ รูปรีหรือขอบขนาน โคนใบป้านหรือรูปลิ่ม ปลายเรียวแหลม หรือเป็นติ่งแหลม ขอบเรียบ ผิวใบด้านบนและด้านล่างเป็นมัน เกลี้ยง หรือมีขนสั้นนุ่ม ดอกช่อแบบช่อกระจุก ดอกย่อยมีก้าน ดอกย่อยที่ด้านข้างเท่ากัน  มีขนาดเล็กกว่าดอกย่อยที่ตรงกลางช่อ ช่อดอกยาว 4-14 ซม. ก้านช่อยาว 0.9-3.5 ซม. หรือไม่มีก้านช่อ ทุกส่วนเกลี้ยง หรือมีขนสั้นนุ่ม ดอกย่อยประกอบด้วย ก้านดอกย่อยสั้นมากหรือไม่มีก้าน ก้านดอกย่อย วงกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายแยก 5 แฉก ปลายของแต่ลุแฉกแหลม วงกลีบดอกเชื่อมกันเป็นรูปดอกเข็ม ปลายแยก 5 แฉก กว้างประมาณ 0.4-0.8 ซม. ยาวประมาณ 0.7-2.3 ซม. สีขาว รูปขอบขนาน ปลายมน เกสรเพศจำนวน 5 อัน แยกกัน เกสรเพศเมีย 1 อัน อยู่เหนือวงกลีบ ผลแตกแนวเดียว รูปแถบเรียวยาว กว้างประมาณ 0.5 ซม. ยาว 37-45 ซม. ก้านผลยาว 1.6-2.5 ซม. เมล็ดจำนวนมาก มีปีกบาง
ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ใบ ผล เมล็ดใน กระพี้ แก่น ราก
สรรพคุณ :
เปลือกต้น - แก้บิด แก้ไข้พิษ
ใบ - ขับไส้เดือนในท้อง
ผล - ขับโลหิต    เมล็ดใน - แก้ไข้       กระพี้ - ฟอกโลหิต

#4
ไม้เลื้อย / ส่าเหล้าปัตตานี รหัส 7-34190-001-567
22 มิถุนายน 2013, 10:31:11 ก่อนเที่ยง
ส่าเหล้าปัตตานี
ถ้า ไม่ใช่คนในแวดวงไม้หอม คงงงกับชื่อนี้มาก โดยเฉพาะคอเหล้าคงจะคิดว่าไม่ใช่ดอกไม้หอมเป็นแน่แท้ ดอกอะไรจะมีกลิ่นแบบส่าเหล้า แต่จริงๆแล้วถ้ารู้จักสายหยุดไม้หอมของไทยดี รู้จักกับส่าเหล้าปัตตานีอีกต้นหนึ่งก็คงไม่เสียหายอะไร

ส่า เหล้าปัตตานีมีชื่อสกุลเดียวกันกับสายหยุด คือ Desmos แค่คนละสปีชีส์แค่นั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ในวงศ์ Annonaceae หรือวงศ์กระดังงา ที่เราคุ้นเคยกันดี

ชื่อพื้นเมืองของส่าเหล้า ปัตตานีมีเยอะมาก เช่น พี้เขา  พีพวนน้อย  (นครพนม) นางดำ (นครศรีธรรมราช)  โยม (มลายู-ปัตตานี) ส่าเหล้าช้าง (ประจวบคีรีขันธ์)

ส่าเหล้าปัตตานี มีชื่อสามัญว่า Dwarf Ylang-Ylang Shrub และชื่อวิทยาศาสตร์คือ  Desmos cochinchinensis Lour.

เกสร ของส่าเหล้าปัตตานีมีสรรพคุณทางยา คือใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง และบำรุงโลหิต ในประเทศจีนมีการศึกษาโดยใช้สารสกัดจากรากของส่าเหล้าปัตตานีในการต้าน มาลาเรีย
   
จุดเด่นที่เห็นก็ทราบทันทีว่าเป็นส่าเหล้าปัตตานี คือมีก้านดอกที่ยาวมากเมื่อเทียบกับพืชในวงศ์เดียวกัน คือประมาณครึ่งฟุตจนถึงเป็นฟุตก็มี บางคนที่ชอบพรรณไม้ชนิดนี้ก็เลยเรียกว่าแม่ดอกก้านยาว ซึ่งมี  2 แบบคือแบบก้านดอกสีเขียวและก้านดอกสีม่วงเข้มหรือดำ มีกลีบเลี้ยงรูปสามเหลี่ยม ดอกมีกลีบดอก 6 กลีบ กลีบดอกเรียงเป็น 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบชั้นนอกรูปหอก กว้าง 1.5-2.5 เซนติเมตร ยาว 3.5 เซนติเมตร ชั้นในกลีบเล็กและสั้นกว่า

ส่าเหล้าปัตตานีชนิดก้านดอกสี เขียว ดอกมีขนาด เล็กถึงกลาง กลิ่นหอมอ่อนๆ ส่วนส่าเหล้าปัตตานีก้านดอกดำหรือม่วงเข้ม ดอกมีขนาดกลาง กลิ่นหอมแรงกว่าชนิดก้านเขียวเล็กน้อย แต่ก้านดอกจะยาวกว่าชนิดก้านเขียว ดอกจะห้อย ดิ่งลงมา

ดอกอ่อนมีสีเขียวพอบานเป็นสีเหลือง บานได้สัก 2-3 วัน กลิ่นหอมอ่อนตั้งแต่เช้าและหอมมากขึ้นในตอน กลางคืน ออกดอกตลอดปี และแน่นอนถ้าอยู่ในวงศ์กระดังงาจึงเป็นพวกไม้พุ่มรอเลื้อย สามารถเลื้อยพาดไปได้ไกลเป็นสิบเมตร แตกกิ่งไม่มาก เปลือกนั้นเรียบมีสีน้ำตาล มีจุดสีขาว เนื้อไม้เหนียว โคนใบมน ปลายใบแหลม

ผล ของส่าเหล้าปัตตานีเป็นผลกลุ่ม ก้านช่อผลยาว เหมือนก้านดอก มีผลย่อยไม่เกิน 20 ผล  ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่กลายเป็นสีดำ มี 2-6 เมล็ด ขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด และการตอนกิ่ง

ตามธรรมชาติสามารถพบส่า เหล้าปัตตานีขึ้นตาม ป่าดิบชื้นและป่าเบญจพรรณทั่วประเทศ ที่ระดับความสูง 100-600 เมตร ปัจจุบันสามารถหาซื้อมาปลูกกันได้ตามร้านขายต้นไม้หอมไทย อาจจะปลูกเป็นไม้กระถางไว้เลื้อยไปตามต้องการ หรือถ้าจะปลูกส่าเหล้าปัตตานีลงดินต้องทราบว่าเป็นพืชที่ชอบอยู่ในที่ร่มชอบ แสงรำไร จะแตกต่างจากต้นสายหยุดที่ชอบแสงแดดและชอบอยู่ที่กลางแจ้ง

นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม : 363
เดือน-ปี : 07/2552
คอลัมน์ : ต้นไม้ใบหญ้า
นักเขียนหมอชาวบ้าน : ดร.ปิยรัษฎ์ เจริญทรัพย์

http://www.doctor.or.th/node/7868
#5
ไม้ต้น / มะค่าโมง รหัส 7-34190-001-566
22 มิถุนายน 2013, 09:54:02 ก่อนเที่ยง
มะค่าโมง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Afzelia xylocarpa (Kurz) Craib
วงศ์ LEGUMINOSAE - CAESALPINIOIDEAE
ชื่ออื่น มะค่าใหญ่ มะค่าหลวง
ไม้ต้น  ขนาดใหญ่ แต่สูงไม่มากนัก ผลัดใบ แตกกิ่งต่ำ เรือนยอดเป็นพุ่มกว้าง ลำต้นมักเป็นครีบและปุ่มปม โคนเป็นพูพอน
เปลือก  สีน้ำตาลอ่อนหรือชมพูอมน้ำตาล แตกสะเก็ดเป็นหลุมตื้น ๆ
ใบ  ประกอบเรียงสลับ ใบย่อยติดตรงข้ามกันเป็นคู่ 3 - 5 คู่ แผ่นใบรูปไข่แกมรูป ขอบขนาน กว้าง            2 - 5 เซนติเมตร ยาว 4 - 9 เซนติเมตร โคนใบมนหรือหยักเว้าเล็กน้อยปลายใบทู่เป็นติ่ง
ดอก  ออกรวมกันเป็นช่อตามปลายกิ่ง ช่อยาว 5 - 15 เซนติเมตร กลีบดอกมี 4 กลีบ แต่ละกลีบซ้อนทับกัน มีเพียงกลีบบนสุดเพียงกลีบเดียวที่เจริญขึ้นเป็นกลีบดอกสีแดงเรื่อ ๆ หรือแดงอมชมพู
ผล  เป็นฝักแบนแข็ง รูปบรรทัดสั้น ๆ กว้าง 7 - 10 เซนติเมตร ยาว 12 - 20 เซนติเมตร  แตกออกเป็น 2 ซีก เมื่อแห้ง เมล็ดแก่สีดำเป็นมัน เรียงตามขวาง 4 - 5 เมล็ด   แต่ละเมล็ดมีเยื่อหนารูปถ้วยสีเหลืองสดห่อหุ้ม ส่วนฐานอยู่
นิเวศวิทยา ขึ้นในป่าเบญจพรรณชื้นและป่าดิบแล้งใกล้แหล่งน้ำ ทุกภาคยกเว้นภาคใต้ สูงจากระดับน้ำทะเล 100 -600 เมตร
ออกดอก กุมภาพันธ์ - มีนาคม ฝักแก่ มิถุนายน - สิงหาคม
ขยายพันธุ์ โดยเมล็ด
วิธีปฏิบัติต่อเมล็ดและการเพาะเมล็ด 
  1.  ตัด - ทำแผลที่ปลายเมล็ดแช่น้ำไว้ 1 คืน ก่อนเพาะ
2.   การเพาะอาจเพาะลงถุงพลาสติกหรือเพาะในแปลงเพาะ
ข้อสังเกตและผลการทดลอง 
  1.  เมล็ดจะงอกภายในประมาณ 7 วัน
              2. กล้าจากแปลงเพาะควรย้ายเมื่อเมล็ดเริ่มแทงรากและใบเลี้ยง
              3. ขนาดของกล้าที่พอย้ายปลูกได้อายุประมาณ 3 - 4 เดือนขึ้นไป สูงประมาณ 1 ฟุต
ประโยชน์ เนื้อไม้สีน้ำตาลอมเหลืองอ่อน แข็งเหนียว ทนทานขัดและชักเงาได้ดี ใช้ทำเสา รอด ตรง พื้น ไม้เครื่องบน ต่อเรือ เครื่องกลึง พานท้ายปืนและรางปืน ทำกลองโทน รำมะนา   เป็นไม้ที่ให้ปุ่มมะค่ามีลวดลายสวยงามและราคาสูง   เปลือกทำน้ำฝาดสำหรับฟอกหนัง เมล็ดอ่อนเนื้อในรับประทานได้

นิเวศวิทยา
      ขึ้นประปรายในป่าเบญจพรรณพื้นที่ที่ค่อนข้างชุ่มชื้นทางภาคเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ส่วนภาคตะวันออก และภาคใต้มีขึ้นอยู่มากใน ป่าดงดิบ ป่าน้ำท่วม และตามท้องนา ทั่ว ๆ ไป
ออกดอก     
    กรกฎาคม - กันยายน   ไม่แน่นอนแล้วแต่สภาพพื้นที่และสิ่งแวดล้อม   เก็บเมล็ดได้ประมาณเดือน ธันวาคมขึ้นไป ผลแก่ จะแตกเพื่อโปรยเมล็ดในราวเดือน มีนาคม
ขยายพันธุ์ โดยเมล็ด
วิธีปฏิบัติต่อเมล็ดและการเพาะเมล็ด -
ข้อสังเกตและผลการทดลอง   
    1.  เมล็ดงอกใช้เวลาประมาณ 20 วัน
    2. ภายในระยะเวลาประมาณ 4 เดือน ต้นกล้ามีความสูงประมาณ 20 ซม. สามารถย้ายปลูกได้
ประโยชน์ เนื้อไม้ละเอียดแข็ง ใจกลางมักเป็นโพรง ใช้ทำสิ่งปลูกสร้างที่รับน้ำหนัก   เสา กระดานพื้น และเครื่องมือการเกษตร และนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ

http://www.forest.go.th/nursery/PROVINCE_PLANT/SUKOTHAI.HTM

[/font][/size][/size]