• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่เว็บไซต์งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนวารินชำราบ

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - จิตลดา พวงเขียว

#1
ไม้เลื้อย / ไส้ตัน (โมกเครือ) 7-34190-001-167
22 มิถุนายน 2013, 10:45:59 ก่อนเที่ยง
ไส้ตัน  (โมกเครือ) 7-34190-001-167     
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aganosma marginata G. Don
ชื่อวงศ์ : APOCYNACEAE
ชื่ออื่น : มะเดื่อดิน เดื่อเครือ ย่านเดือยบิด ไส้ตัน
ลักษณะพืช : ไม้เถาเนื้อแข็ง มีน้ำยางขาว ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม ตัวใบรูปขอบขนาน ผิวใบด้านบนเกลี้ยง หรือมีขนประปราย ด้านล่างมีขนสั้นๆ ช่อดอกออกตามปลายยอด หรือตามซอกใบ ดอกรูปกรวย ปลายแยก 5 แฉก สีขาว ผลเป็นฝักยาว ออกเป็นคู่ ฝักแก่จะแตก 2 ซีก มีเมล็ดรูปขอบขนาน ปลายด้านหนึ่งมีขนยาวมีขาว จำนวนมาก พบตามป่าละเมาะ เรีอกสวน ชอบที่ร่มชุ่มชื้น
การใช้ในตำรายาแผนโบราณ :
ใบ - แก้ริดสีดวง แก้เมื่อย แก้ผื่นคัน ขับปัสสาวะ
ราก - แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ยาเจริญอาหาร ยาระบาย ขับระดู แก้ขัดเบา แก้ไตและตับพิการ แก้ไข้
ทั้งต้น - แก้ไข้
การใช้ประโยชน์   ใบและยอดเป็นแหล่งอาหารตามธรรมชาติสำหรับแทะเล็มของโค กระบือและสัตว์ป่าขนาดเล็ก
#2
ไม้พุ่ม / แสยก รหัส 7-34190-001-166
22 มิถุนายน 2013, 10:42:59 ก่อนเที่ยง
แสยก รหัส 7-34190-001-166
ชื่อสามัญ  Redbird Cactus, Slipper-Flower, Jew-Bush
วงศ์        EUPHORBIACEAE
ชื่ออื่น     แสยกสามสี (ภาคกลาง)  ว่านสลี (แม่ฮ่องสอน)   ย่าง  มหาประสาน  นางกวัก   เคียะไก่ไห้ (ภาคเหนือ)  กะแหยก
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์   ไม้พุ่มขนาดเล็กสูง 1-3 ม. ลำต้นตั้งตรง กิ่งก้านเป็นสีเขียวมัน อวบน้ำ มียางสีขาวข้น
                              ใบ ใบเรียงสลับ ใบเดี่ยว รูปรีแกมไข่กลับ โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบจัก ก้านใบยาว เนื้อใบแข็ง อวบน้ำ ผิวใบเกลี้ยงเป็นมันทั้ง 2 ด้าน
                              ดอก ดอกช่อสีแดง เกิดที่ปลายกิ่ง
ประโยชน์ ใบและยอด พอกแผลสด ต้น ยาเบื่อปลาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ

#3
ไม้ต้น / มะตูม 7-34190-001-170
22 มิถุนายน 2013, 10:37:35 ก่อนเที่ยง
มะตูม 7-34190-001-170    
ชื่ออื่นๆ   กะทันตาเถร ตูม
ชื่อพฤกษศาสตร์   Aegle marmelos ( L.) Correa ex Roxb
ชื่อวงศ์    RUTACEAE
มะตูม ชื่อท้องถิ่น มะบิน ( ภาคเหนือ)ตูม ( ภาคใต้ ) ผลมะตูมดิบมีฤทธิ์ขับลมบำรุงธาตุ แก้กระหายน้ำ ขับลม จุกเสียดแน่นท้อง มูกเลือด ช่วยย่อยอาหาร บำรุงกำลัง
เป็นยาอายุวัฒนะ รากมีรสปร่า ( รสที่ไม่กลมกล่อมไม่แน่ชัดว่าเป็นรสอะไร ) แก้พิษฝีพิษไข้ บำรุงประสาท ใบมีรสฝาด เป็นยา
บำรุงธาตุทำให้เจริญอาหาร แก้โรคลำไล้ ท้องเดินน้ำที่คั้นจากใบใช้แก้หวัด หลอดลมอักเสบและตาอักเสบ ผลแก่นำมาเชื่อมเป็นของหวานผลอ่อนหั่นตากแดด ต้มดื่มเป็นชามะตูมช่วยให้สดชื่น แก้อาการอ่อนเพลีย
ไม้ยืนต้น สูง ๑๐-๑๕ เมตร ใบประกอบแบบนิ้วมือ เรียงสลับ
ใบย่อย รูปวงรี หรือรูปไข่แกมใบหอก กว้าง ๒-๗ ซม. ยาว ๔-๑๓ ซม. ขอบใบหยักมน ดอกช่อ ออกที่ซอกใบและที่ปลายกิ่งกลีบ
ดอก ด้านนอกสีเขียวอ่อน ด้านในสีนวล ใบและดอกมีกลิ่นหอม ผลเป็นผลสดเนื้อในสีเหลืองมีน้ำเมือก
ประโยชน์ของมะตูม ตำรายาไทยใช้ผลดิบแห้งชงน้ำดื่ม แก้ท้องเสีย แก้บิด ผลสุกเป็นยาระบาย ช่วยย่อยอาหาร ใบสดคั้นน้ำกินแก้หลอดลมอักเสบ เปลือกรากและต้น รักษาไข้มาลาเรีย
แก้ท้องร่วงเรื้อรัง แก้โรคลำไส้ช่วยย่อยอาหาร แก้ธาตุพิการ แก้ท้องผูก ควบคุมระบบ ต่าง ๆ ของร่างกายให้ปกติ
#4
ไม้ต้น / ไม้กฤษณา 7-34190-001-169
22 มิถุนายน 2013, 10:28:36 ก่อนเที่ยง
ไม้กฤษณา 7-34190-001-169   
ชื่อพื้นเมือง กฤษณา(ภาคตะวันออก) กายูการู กายูกาฮู (มาเลเซีย ปัตตานี) ไม้หอม (ภาคตะวันออก ภาคใต้)(บาลี) อครุ, ตคร (จีน) ติ่มเฮียง (ไม้หอมที่จมน้ำ) (อังกฤษ) Eagle Wood , Lignum Aloes , Agarwood, Aloe Wood, Calambac, Aglia, Akyaw.
ชื่อวิทยาศาสตร์ ในประเทศไทย มี 3 ชนิด คือ Aquilaria crassna Pierre, A.malaccensis Lamk. (ชื่อพฤกษศาสตร์พ้อง A. agallocha Roxb.) และชนิดใหม่ที่เพิ่งค้นพบ โดย Dr. Ding Hau คือ A. subintegra Ding Hau
ชื่อวงศ์ Thymelaeaceae
ลักษณะทั่วไป กฤษณาเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ มีความสูงตั้งแต่ 18-21 เมตรขึ้นไป วัดโดยรอบลำต้นยาวประมาณ 1.5-1.8 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทรงเจดีย์ต่ำ ๆ หรือรูปกรวย ลำต้นเปลาตรง มักมีพูพอนที่โคนต้นเมื่อมีอายุมาก เปลือกนอกเรียบ สีเทาอมขาว เปลือกหนาประมาณ 5-10 มิลลิเมตร มีรูระบายอากาศสีน้ำตาลอ่อนทั่วไป เปลือกนอกจะปริ เป็นร่องเล็ก ๆ เมื่อมีอายุมาก ๆ ส่วนเปลือกชั้นในมีสีขาวอมเหลือง
ใบ เป็นชนิดใบเดี่ยว รูปมน รูปไข่กลับหรือรูปยาวขอบขนานออกเรียงสลับกัน เนื้อใบเป็นมัน ปลายใบเรียวแหลม ใบกว้าง 2.5-3.5 เซนติเมตร ยาว 7-9 เซนติเมตร ใบแก่เกลี้ยงเป็นมัน แต่ใบอ่อนสั้นและคล้ายไหม
ดอก สีขาว ไม่มีกลีบดอก ออกเป็นช่อเล็ก ๆ มีกลิ่นหอม เป็นดอกสมบูรณ์เพศ เกิดที่ง่ามใบหรือยอด เป็นแบบ Axillary หรือ Terminal umbles ก้านดอกสั้น มีขนนุ่มอยู่ทั่วไป ตามง่ามใบและดอก ออกดอกในช่วงฤดูร้อน และกลายเป็นผลแก่ในประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน
ผล เป็นแบบ Capsule รูปไข่กลับค่อนข้างแบน ส่วนที่ติดกับขั้วเล็ก เปลือกแข็ง มีขนสีเทา ผลยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร กว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร ในเดือนสิงหาคม ผลเริ่มแก่และจะแตกอ้า มีเมล็ด 1 หรือ 2 เมล็ด แบบ Ovoid ขนาดของเมล็ดยาว 5-6 เซนติเมตร มีหางเมล็ดมีแดงหรือส้ม ปกคลุมด้วยขนสั้นนิ่มมีสีแดงอมน้ำตาล
ดอกลักษณะของเนื้อไม้ ลักษณะของเนื้อไม้กฤษณาจะมีทั้งเนื้อไม้ปกติ และเนื้อไม้หอมที่มีน้ำมันกฤษณา ซึ่งคนไทยรู้จักจำแนก ความแตกต่าง มาแต่โบราณแล้ว ดังกล่าวถึงในมหาชาติ คำหลวงสมัยอยุธยาตอนต้น พ.ศ.2025 ว่ามีทั้งกฤษณาขาว (เสตครู) และกฤษณาดำ (ตระคัร) ซึ่งมีเนื้อไม้หอม
ตำรายาไทยระบุว่า กฤษณารสขมหอม สุขุม คุมธาตุ บำรุงโลหิตในหัวใจ (อาการหน้าเขียว) บำรุงหัวใจ บำรุงตับปอดให้เป็นปกติ แก้ลมวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด แก้ลมซาง แก้ไข้ อาเจียน ท้องร่วง บำบัดโรคปวดตามข้อ ตำราจีน กฤษณาจัดเป็นยาชั้นดี มีรสเผ็ดปนขม ฤทธิ์อ่อน ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้ลมวิงเวียน คลื่นไส้อาเจียน รักษาอาการปวดแน่นหน้าอก แก้หอบหืด เสริมสมรรถภาพทางเพศ แก้โรคปวดบวมตามข้อ ขับลมในกระเพาะอาหาร ปัจจุบันได้นำกฤษณาไปผลิตยารักษา โรคกระเพาะที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง คือ จับเชียอี่ (สุภาภรณ์, 2537)    ประโยชน์  เนื้อไม้สกัดได้น้ำหอม  เนื้อในเป็นยาบำรุงหัวใจ กระตุ้นหัวใจ ขับลม น้ำมันจากเมล็ด รักษาโรคเรื้อน โรคผิวหนัง   


#5
ไม้พุ่ม / ก้านตง คันทรง 7-34190-001-168
22 มิถุนายน 2013, 10:24:00 ก่อนเที่ยง
ก้านตง   คันทรง 7-34190-001-168 
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Colubrina asiatica L. ex Brongn.
ชื่อวงศ์ : RHAMNACEAE
ชื่ออื่น เพลโพเด๊าะ (กระเหรี่ยง – แม่ฮ่องสอน); ผักก้านถึ่ง (ภาคเหนือ); ก้านเถิง; กะทง (ภาคใต้);
ลักษณะทางพฤกศาสตร์ลำต้น เป็นไม้ยืนต้น ทางพุ่มขนาดย่อม สูงประมาณ 10 ฟุต
ใบ กลมเท่าใบมะยม ขอบจักฝอย ปลายแหลม
ดอก ออกเป็นช่อเล็กสีเหลือสวยงาม

สรรพคุณ : เปลือกและใบ นำมาต้มเอานํ้าอาบรักษาอาการบวม เนื่องจากโรคไตหรือ
โรคหัวใจพิการ และนํ้าเหลืองเสีย เหน็บชา
อื่นๆ : พรรณไม้นี้ทางภาคกลางและภาคเหนือใช้เหมือนกั้น แต่เว้นภาคตะวันออก
ถิ่นที่อยู่ : พรรณไม้นี้มักขึ้นเองตามป่าราบที่รกร้างทั่วๆไป และปลูกกันตามบ้านหมอโบราณก็มีบ้าง