• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

พืชพรรณต่างๆ มีภาพประกอบ และจัดเป็นหมวดหมู่ตามลักษณะวิสัย ค้นหาได้ง่าย

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - ปริญญา สิมพันธ์

#1
ไม้ต้น / พฤกษ์ รหัส 7-34190-001-505
22 มิถุนายน 2013, 10:35:11 ก่อนเที่ยง
พฤกษ์มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Albizia lebbeck Benth. อยู่ในวงศ์ Mimosoideae (Leguminosae) ซึ่งเป็นพืชประเภทถั่ว เช่นเดียวกับต้นไม้ยืนต้นที่มีชื่อลงท้ายด้วยพฤกษ์ที่เราคุ้นเคย เช่น ราชพฤกษ์ (คูน) กาลพฤกษ์ (กัลปพฤกษ์) และชัยพฤกษ์ เป็นต้น ต่างกันตรงที่อยู่ทั้ง ๓ ชนิด อยู่ในสกุล Cassia แต่ก็มีลักษณะหลายอย่างคล้ายคลึงกัน
พฤกษ์เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง ๑๕-๒๕ เมตร ทรงพุ่มกว้างพอสมควร ด้านบนพุ่มค่อนข้างแบน เปลือกสีเทาเข้มหรือน้ำตาลอมเหลือง ผิวเปลือกขรุขระมักแตกเป็นร่องยาว เปลือกด้านในมีสีแสดแดง ใบเป็นรูปขนนก สองชั้นเรียงสลับกัน ก้านช่อใบยาวประมาณ ๒๐ เซนติเมตร มีขนละเอียดปกคลุม ช่อใบแขนงยาวประมาณ ๕-๑๐ เซนติเมตร ใบย่อยทรงยาวรี กว้างประมาณ ๑-๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒-๔ เซนติเมตร ใบร่วงในช่วงเดือนธันวาคมและมกราคม (ผลัดใบ) แตกยอดอ่อนราวปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนมีนาคม ดอกเกิดที่ปลายกิ่งและโคนก้านใบ ออกเป็นช่อยาวประมาณ ๓๐ เซนติเมตร เป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีเกสรยาวเป็นฝอยคล้ายดอกจามจุรี แต่มีสีขาวอมเขียว และเปลี่ยนเป็นสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม มักออก ดอกในเดือนมีนาคมถึงเมษายน ฝักแบนโตคล้ายฝักกระถิน สีขาวอมเหลือง กว้างประมาณ ๓-๕ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๑๐ ถึง ๓๐ เซนติเมตร มีเมล็ด ๔-๑๒ เมล็ดต่อฝักพฤกษ์มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนชื้นของทวีปเอเชีย ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วยจึงพบว่าเป็นต้นไม้ พื้นบ้านที่พบขึ้นเองตามธรรมชาติอยู่ทุกภาคของประเทศไทย มีชื่อเรียกต่างๆกันไปมากมาย เช่น พฤกษ์, ซึก, ซิก, จามจุรี, กะซึก, ชุงรุ้ง, ก้ามปู, คะโก, จามรี (ภาคกลาง) มะขามโคก, มะรุมป่า (นครราชสีมา) ก้านฮุ้ง (ชัยภูมิ) ถ่อนนา (เลย) พญากะบุก (ปราจีน) จ๊าขาม (ภาคเหนือ) ตุ๊ด (ตาก) กรีด, แกร๊ะ (ภาคใต้) กาแซ, กาไม (สุราษฎร์ธานี) เป็นต้น ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Indian Walnut หรือ Siris น่าสังเกตว่า พฤกษ์ มีชื่อซ้ำกับพืชชนิดอื่นที่เรารู้จักกันดีด้วย คือ จามจุรี และก้ามปู อันเป็นต้นไม้อยู่ในวงศ์เดียวกัน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Samanea saman (Jacq.) Merr. มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Rain Tree ความจริงจามจุรี (ก้ามปู, ฉำฉา) เป็นต้นไม้มาจากทวีปอเมริกาใต้ นำเข้ามาปลูกในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ นี้เอง ชื่อจามจุรี หรือก้ามปูก็นำไปจากชื่อของต้นพฤกษ์นี้เอง เพราะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะลักษณะดอกที่มีเกสรยาวเป็นฝอย ต่างกันที่สีดอกพฤกษ์มี  สีขาวเหลือง แต่ดอกจามจุรี(ใหม่) สีออกชมพูแดง จึงเรียกในสมัยแรกๆ ว่าจามจุรีแดง เพื่อให้เห็นความแตกต่างจากจามจุรีเดิม(พฤกษ์) ซึ่งมี ดอกสีขาวเหลือง ต่อมาเรียกสั้น  ลงว่าจามจุรี (เฉยๆ) ไม่มีคำว่าแดง ตามหลัง และไม่มีเรียกต้นพฤกษ์ ว่าจามจุรีหรือก้ามปูอีกมาจนถึงปัจจุบัน

ในอดีตที่คนไทยภาคกลางเรียกพฤกษ์ว่าจามจุรีหรือจามรี น่าจะเป็นเพราะลักษณะดอกเป็นฝอย และมีสีออกเหลืองคล้ายแส้ขนจามรี (จามจุรี) ที่ใช้ในพิธีมงคลนั่นเอง ส่วนที่ได้ชื่อว่าก้ามปู ก็เพราะลักษณะตอนปลายช่อใบคล้ายก้ามปูทะเล จึงเรียกว่า ต้นก้ามปู ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของต้นพฤกษ์ ก็คือ กลางคืนใบจะหุบลีบติดกัน เหมือนนอนหลับและแผ่ออกจากกันตอนเช้าไปจนตลอดวัน
#2
ไม้ล้มลุก / ผักตบชวา รหัส 7-34190-001-504
22 มิถุนายน 2013, 10:31:28 ก่อนเที่ยง
ผักตบชวา (อังกฤษ: Water Hyacinth) เป็นพืชน้ำล้มลุกอายุหลายฤดู สามารถอยู่ได้ทุกสภาพน้ำ มีถิ่นกำเนิดในแถบลุ่มน้ำอะเมซอน ประเทศบราซิล ในทวีปอเมริกาใต้ มีดอก สีม่วงอ่อน คล้ายช่อดอกกล้วยไม้ และแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นวัชพืชที่ร้ายแรงในแหล่งน้ำทั่วไป มีชื่อเรียกในแต่ละท้องถิ่นดังนี้: ผักปอด, สวะ, ผักโรค, ผักตบชวา, ผักยะวา, ผักอีโยก, ผักป่อง
ประวัติ
ผักตบชวาถูกนำเข้ามาในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2444 ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยนำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซียในฐานะเป็นไม้ประดับสวยงาม โดยเจ้านายฝ่ายในที่ตามเสด็จประพาสประเทศอินโดนีเซีย ได้เห็นพืชชนิดนี้มีดอกสวยงาม จึงนำกลับมาปลูกในประเทศไทย และใส่อ่างดินเลี้ยงไว้หน้าสนามวังสระปทุม จนกระทั่งเกิดน้ำท่วมวังสระปทุมขึ้นทำให้ผักตบชวาหลุดลอยกระจายไปตามแม่น้ำลำคลองทั่วไป และแพร่พันธุ์อย่างกว้างขวางในปัจจุบัน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ผักตบชวามีลำต้นสั้นแตกใบเป็นกอลอยไปตามน้ำ มีไหล ซึ่งเกิดตามซอกใบแล้วเจริญเป็นต้อ่อนที่ปลายไหล ถ้าน้ำตื้นก็จะหยั่งรากลงดิน ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่หรือเกือบกลม ก้านใบกลมอวบน้ำตรงกลางพองออกภายในเป็นช่องอากาศคล้ายฟองน้ำช่วยให้ลอยน้ำได้ ดอกเกิดเป็นช่อที่ปลายยอดมีดอกย่อย 3-25 ดอก สีม่วงอ่อน มีกลีบดอก 6 กลีบ กลีบบนสุดขนาดใหญ่กว่ากลีบอื่น ๆ และมีจุดเหลืองที่กลางกลีบ ขยายพันธุ์โดยการแยกต้นอ่อนที่ปลายไหลไปปลูก
#3
ไม้พุ่ม / อินทวา พุดซ้อน รหัส 7-34190-001-503
22 มิถุนายน 2013, 10:28:54 ก่อนเที่ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์: Gardenia angusta (L.) Merr.
ชื่อวงศ์: Rubiaceae
ชื่อสามัญ: Cape jasmine, Gardenia jasmine
ชื่อพื้น เมือง: พุดจีน พุดใหญ่ อินถะหวา เค็ดถวา แคถวา ซัวอึ้งกี่ จุยเจียฮวย
ลักษณะทั่วไป:
ต้น พุดซ้อนเป็นไม้พุ่มสูงประมาณ 1-2เมตร แตกกิ่งแขนงมาก ลำต้นเรียวเป็นรูปกรวย ไม่ผลัดใบ ทรงพุ่มกลม ค่อนข้างหนาทึบ เปลือกสีน้ำตาลดำ
ใบ ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปหอก ปลายใบและโคนใบแหลม ใบมีสีเขียวมน
ดอก เป็นดอกเดี่ยวสีขาวออกตามซอกใบและปลายกิ่ง มีกลีบเลี้ยงหนาเป็นสัน มีทั้งชนิดดอกลา คือกลีบดอกชั้นเดียว และชนิดดอกซ้อน มีกลีบดอกจำนวนมากเรียงซ้อนกัน เมื่อดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7-8 ซม.



ฝัก/ผล มีทั้งผลสั้นและยาว รูปไข่ถึงรูปแกมรูปขอบขนาน เมื่อแก่สีเหลือง ส้ม เมล็ดจำนวนมาก ผลแก่จัดจะแตกเป็น 2 ซีก
เมล็ด จำนวนเมล็ดประมาณ 3-6 เมล็ด
ฤดูกาลออกดอก: ออกดอกตลอดปี
การปลูก: ปลูกเป็นต้นเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มเพื่อบังสายตา
การดูแลรักษา: เป็นไม้กลางแจ้ง ต้องการแสงแดดจัด ชอบดินร่วนที่มีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอ
การขยายพันธุ์: เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง
ส่วนที่มีกลิ่นหอม: ดอก กลิ่นหอมแรง
การใช้ประโยชน์:
- นิยมนำไปร้อยพวงมาลัยบูชาพระ
- เมล็ดสีเหลืองทอง ใช้แต่งสีอาหารและทำสีย้อม
- ส่วนดอกใช้สกัดน้ำมันหอมระเหย ใช้ทำน้ำหอมและแต่งกลิ่นเครื่องสำอาง
- สมุนไพร
ถิ่นกำเนิด: ประเทศไทย จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น
แหล่งที่พบ: มีอยู่มากทางภาคเหนือ
สรรพคุณทางยา:
- ใบ ตำพอกแก้ปวดศีรษะ แก้เคล็ดขัดยอก
- ดอก คั้นน้ำทาแก้โรคผิวหนัง
- ราก แก้ไข้
- เปลือกต้น แก้บิด

#4
ไม้ล้มลุก / อเมซอน รหัส 7-34190-001-502
22 มิถุนายน 2013, 10:18:36 ก่อนเที่ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์    Echinodosus cordifolius (L.)   Griseb.
ชื่อวงศ์    Alismataceae
ชื่อสามัญ    Burhead, Texas mud baby
ชื่อพื้นเมือง   อเมซอนใบกลม
ชนิดพืช [Plant Type]   พืชล้มลุกมีอายุหลายปี
ขนาด [Size] : 1 เมตร
สีดอก [Flower Color]   สีขาว
ฤดูที่ดอกบาน [Bloom Time]   ตลอดปี
อัตราการเจริญเติบโต [Growth Rate] เร็ว
ลักษณะนิสัย [Habitat]   ชอบดินเหนียวชุ่มชื้นและ
มีอินทรีย์วัตถุสูง จนถึงน้ำลึก 10-50เซนติเมตร
ความชื้น [Moisture]  สูง
แสง [Light]   แสงครึ่งวัน - เต็มวัน
ลักษณะทั่วไป (Characteristic) ไม้โผล่เหนือน้ำ อายุหลายปี  ลำต้นเป็นเหง้าสั้นๆอยู่ใต้ดิน มีรากยึดไว้  ลำต้น
เหนือดินเป็นกอ มีใบแตกรอบๆประมาณ10 ใบ
ใบ (Foliage)  ใบเดี่ยว  รูปไข่ ป้อม  กว้าง 8-15 เซนติเมตร ยาว 10-20 เซนติเมตร ปลายใบมน โคนใบเว้า เป็นรูปหัวใจ  ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาเเข็ง  ผิวเรียบเป็นมัน ก้านใบกลมตั้งตรงชูใบขึ้นเหนือผิวน้ำ  ยาว 8-20 เซนติเมตร โคนก้านใบเป็นกาบหุ้นต้น
ดอก (Flower)  สีขาว ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงจากกอ ก้านช่อดอกยาว 1-1.5 เมตร  มีดอกย่อยจำนวน
มาก   มีใบประดับสีเขียว กลีบเลี้ยงสีเขียว 3 กลีบ กลีบดอกสีขาว 3 กลีบ บางและร่วงง่าย  เกสรตัวผู้มีสีเหลืองเป็นกระจุก ดอกบานเต็มที่กว้าง 2 เซนติเมตร
ผล (Fruit)  ผลแห้ง ทรงกลม ขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร มีเมล็ดเดียว เมล็ดล่อน
การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used)  ปลูกประดับสวนน้ำ ริมขอบสระหรือในตู้ปลา ดอกสวยงามตลอดปี
#5
ไม้พุ่ม / ฮวานง็อก รหัส 7-34190-001-501
22 มิถุนายน 2013, 09:52:01 ก่อนเที่ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pseuderanthemum palatiferum (Nees) Radlk


พืชจำพวกไม้พุ่มชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดในป่าประเทศเวียดนามตอนเหนือ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pseuderanthemum palatiferum เป็นพืชใบเดี่ยวสีเขียวเรียวแหลมเรียงตรงข้าม ลำต้นเป็นรูปสี่เหลี่ยม เปลือกต้นผิวเรียบสีเขียว ดอกเป็นช่อสีชมพู น้ำเงินม่วงหรือเกือบดำ สูงเต็มที่ได้ 1-3 เมตร สามารถขึ้นได้ดีทั้งในที่ร่มและที่แจ้ง
เป็นพืชที่รู้จักกันดีว่าเป็นสมุนไพรที่รับประทานใบสด ๆ หรือต้มน้ำดื่ม รักษาอาการช้ำใน โดยใบประกอบด้วยสารอาหารหลายชนิดเช่น โปรตีน กรดอะมิโน และเกลือแร่ เช่น แมกนีเซียม แคลเซี่ยม เหล็กและทองแดง มีองค์ประกอบทางเคมี เป็นสารฟลาโวนอยด์ และอื่น ๆ อีกหลายตัว มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และต้านแบคทีเรีย และต้านเชื้อรา
สรรพคุณอื่น ๆ ใช้แก้โรคท้องเสีย กระเพาะอาหารอักเสบ ลำไส้อักเสบ ไขข้ออักเสบ คออักเสบ ตกเลือด รักษาแผล ป้องกันโรคต่าง ๆ
ฮวานง็อกถูกนำเข้าประเทศไทยครั้งแรก หลังสงครามเวียดนามโดยทหารไทยที่ไปรบที่นั่น และนำกลับมาเผยแพร่หลังจากนั้น
ฮวานง็อกยังไม่มีรายงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง แต่มีการวิจัยกับสุกร โดยรักษาอาการท้องเสียในสุกร ได้ทดลองวิจัยเทียบกับยาปฏิชีวนะเช่น ยาชนิดผสมคือ โคลิสติน ผสมกับ นอร์ฟอกซาซินและผสมกับ เจนตาไมซิน และยาคอไตมาโซลได้ผลดีเท่ากันมีผลต่อการเจริญเติบโตของลูกสุกร โดยมีน้ำหนักตัวดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ให้ โดยใช้ทดแทนการให้ยาปฏิชีวนะ
ฮวานง็อก มีชื่อเรียกในภาษาไทยว่า พญาวานร หรือ ต้นลิงง้อ ทั้งนี้มีความเชื่อของคนพื้นบ้านว่า เมื่อลิงตัวเมียคลอดลูก ลิงตัวผู้จะเด็ดใบฮวานง็อกมาให้ลิงตัวเมียกิน ช่วยให้คลอดลูกได้ง่ายขึ้น
วงศ์  Acanthacea