• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. อบอจ..
 

ข่าว:

โรงเรียนได้รวบรวม พืชพรรณ นานาชนิดกว่า 600 ชนิด ที่ถูกรวบรวม เรียบเรียงไว้อย่างเป็นระบบ สืบค้นได้ง่าย

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - พัชริดา สังข์ทอง

#1
ไม้ต้น / แดง/กร้อม รหัส7-34190-001-055
22 มิถุนายน 2013, 10:23:21 ก่อนเที่ยง
                 ชื่อพื้นเมือง           ต้นแดง
             ชื่อวิทยาศาสตร์     Xylia  xylocarpa  Taub
      วงศ์  LEGUMINOSAE - MIMOSOIDEAE
             ลักษณะนิสัย         ผลัดใบหมดทั้งต้น ค่อยออกดอก เดือน
                               มีนาคม – เมษายน ติดผลเดือน
                               พฤษภาคม – มิถุนายน
              ลักษณะพิเศษของพืช
               เนื้อไม้แข็ง  ใช้ทำเสา ทำฟืน เผาถ่าน เมล็ดอ่อน
               กินดิบรสมัน เมล็ดแก่คั่วให้สุกกินมีรสหอมมัน
              บริเวณที่พบ
                       ป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้งของประเทศไทย
ชื่อวิทยาศาสตร์ Xylia xylocarpa (Roxb.) Taub. var. kerrii (Craib & Hutch.) I.C. Nielsen
ชื่อสามัญ Iron wood. ชื่อพื้นเมือง กร้อม (ชาวบน – นครราชสีมา); คว้าย (กะเหรี่ยง – เชียงใหม่,
กาญจนบุรี); ไคว, เพร่ (กะเหรี่ยง – แม่ฮ่องสอน); จะลาน, จาลาน
(เงี้ยว – แม่ฮ่องสอน); แดง (ทั่วไป); ตะกร้อม (ชอง – จันทบุรี);
ปราน (ส่วย – สุรินทร์); ไปรน์ (ศรีสะเกษ); ผ้าน (ละว้า – เชียงใหม่); เพ้ย (กะเหรี่ยง – ตาก); สะกรอม (เขมร – จันทบุรี)
ชื่อวงศ์ LEGUMINOSAE – MIMOSOIDEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น แดงเป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ สูงถึง 30 เมตร ผลัดใบ ลำต้นมักคดงอ แตกกิ่งต่ำ เปลือกต้นสีครีมอมน้ำตาล แตกกล่อนเป็นสะเก็ดแผ่นบางๆ
ใบ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้นปลายคู่ ใบย่อยเรียงตรงกันข้าม รูปขอบขนานแกมรูปไข่ ใบอ่อนสีน้ำตาลแดง
ดอก ดอกออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกแน่น ทรงกลม คล้ายดอกกระถิน ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม
ผล ผลเป็นฝักรูปขนมเปียกปูน ผิวแข็ง ฝักแก่สีน้ำตาลอมเทา แก่จัดจะแตกอ้าออกตามรอยประสานเป็นสองซีก ผนังฝักที่แตกมักจะบิดงอ เมล็ดแบน 6 – 10 เมล็ด ออกผลเดือนตุลาคม – ธันวาคม
แหล่งที่พบ ป่าเต็งรัง
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ชอบแสงแดดจัด ขึ้นได้ดีในดินร่วน ไม่อุ้มน้ำ
ฤดูกาลใช้ประโยชน์ ฤดูหนาว
ส่วนที่ใช้เป็นอาหาร เมล็ดอ่อน รับประทานได้ เมล็ดแก่นำไปคั่วหรือเผาไฟให้สุกรับประทานได้
รส มัน
การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด
#2
ไม้พุ่ม / เอื้องทอง/กนกลายไทย รหัส7-34190-001-054
22 มิถุนายน 2013, 10:21:52 ก่อนเที่ยง
กนกลายไทย หรืออีกชื่อคือ เอื้องทอง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Sanchezia speciasa Leonard 
วงศ์ ACANTHACEAE
เป็นไม้พุ่มที่มีใบสวยสดใส เลี้ยงง่าย โตเร็ว
นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ใบมีขนาดใหญ่รูปไข่ ค่อนข้างหนา ปลายใบแหลม 
ใบสีเขียวสด  มีแถบเหลืองบนเส้นกลางใบและเส้นใบ
เส้นใบสีเหลืองตัดกับสีของผืนใบเห็นเด่นชัด
ขอบใบเป็นจักเล็กน้อย

ออกดอกเป็นช่อปลายกิ่ง มีลักษณะเป็นหลอดสีเหลืองทอง
ปลายกลีบดอกบานเล็กน้อย เป็นห้ากลีบสั้นๆ
กลีบเลี้ยงมีสีน้ำตาลแดง ยาวประมาณห้าหกนิ้ว
แต่พุ่มใบจะดูเด่นกว่า จึงมักนิยมดูพุ่มใบมากกว่าดอก























#3
ไม้ล้มลุก / พลับพลึงดอกขาว/ลิลัว รหัส7-34190-001-053
22 มิถุนายน 2013, 10:20:01 ก่อนเที่ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Crinum asiaticum Linn
ชื่อวงศ์ : AMARYLLIDACEAE
ชื่อสามัญ : Crinum Lily , Cape Lily
ชื่ออื่น : พลับพลึง, ลิลัว, พลับพลึงดอกขาว
ลักษณะ : ต้นไม้ล้มลุกหลายฤดู มีลำต้นใต้ดิน ส่วนที่อยู่เหนือดินจะประกอบด้วย กาบใบสีขาวหุ้มซ้อนกันเป็นชั้น ๆ สูงประมาณ 1 เมตร ใบอวบหนา กว้าง 7 - 15 เซนติเมตร ยาว 1 เมตร ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ เรียงซ้อนสลับเป็นวง ดอกดอกช่อมีขนาดใหญ่ ดอกย่อยอยู่เป็นกระจุกตรงปลายก้านมี 10 - 20 ดอก ทยอยบานกลีบดอกตอนโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว 7 - 10 เซนติเมตร ส่วนปลายแยกเป็นกลีบแคบ ๆ ยาวประมาณ 7 เซนติเมตร จำนวน 6 กลีบ มีสีขาว มีเกสรตัวผู้ 6 อัน มีกลิ่นหอม ผล ค่อนข้างกลม สีเขียว ค่อนข้างนิ่ม
สรรพคุณ : แก้อาการฟกช้ำ เคล็ดขัดยอก บรรเทาอาการปวดบวม ในใบมีสารกลุ่มอัลคาลอยด์ชื่อ Lycorine ซึ่งมีฤทธิ์ต้านไวรัสที่ทำให้เป็นโรคโปลิโอ, หัด
ขนาดและวิธีใช้ : แก้เคล็ดยอกบวมช้ำ และบรรเทาอาการปวดบวม ใช้ใบที่โตเต็มที่ ย่างไฟอ่อนๆ ประคบบริเวณที่เคล็ดหรือปวด อาการปวดก็จะบรรเทาลง

#4
ไม้พุ่ม / แคป่า แคหัวหมู รหัส7-34190-001-052
22 มิถุนายน 2013, 10:18:25 ก่อนเที่ยง
7-34190-001-052   แคป่า แคหัวหมู
ชื่อ   แคหัวหมู
ชื่ออื่น ขุ่ย แคว (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) แคขอน แคหางค่าง (ร้อยเอ็ด) แคปุ๋มหมู (เชียงใหม่) แคยอดดำ (ภาคใต้) แคหมากลิ่ม (ชาน-แม่ฮ่องสอน) แคหมู แคหัวหมู (ทั่วไป)   แคขอน แคหางค่าง (เลย); แคปุ๋มหมู (เชียงใหม่); แคยอดดำ (ภาคใต้); แคหมู  แคอาว
ชื่อวิทยาศาสตร์   Fernandoa adenophylla (Wall. ex G. Don) Steenis

วงศ์   BIGNONIACEAE
ชื่อสามัญ        -
แหล่งที่พบ พบมากในป่าดงดิบแล้งและป่าผสมผลัดใบของทุกภาค
ประเภทไม้   ไม้ยืนต้น
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น  ไม้ยืนต้น สูงประมาณ 20 เมตร
ดอก  ออกดอกตอนปลายกิ่ง กลีบช่อดอกด้านนอกสีม่วงอ่อนๆ ตรงกลางดอกสีม่วงแดง
ผล  เป็นฝักมีขน
ส่วนที่ใช้บริโภค กลีบดอก ฝักอ่อน
การขยายพันธุ์ เมล็ด
. สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด
ฤดูกาลที่ใช้ประโยชน์ เดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน
การปรุงอาหาร กลีบดอกฝักอ่อน นำมาต้มก่อนแล้วจึงนำไปปรุงอาหาร เช่น ผัด ไม่นิยมนำไปแกง
ไม้ ต้นผลัดใบขนาดเล็ก สูง 5-15 เมตร ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว ยาว 20-55 ซม. ใบย่อย 4-8 คู่ รูปขอบขนานหรือแกมรูปรี หรือแกมรูปใบหอก ยาว 8-25 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบแหลมถึงเกือบกลม แผ่นใบเกลี้ยงหรือมีขนประปราย ก้านใบสั้น ยาวไม่เกิน 0.5 ซม. ช่อดอกยาว 15-35 ซม. มี 4-10 ดอก ก้านดอกยาว 2-6 ซม. กลีบเลี้ยงยาว 3.3-5.5 ซม. มีขนปุย กลีบดอกสีเหลืองตุ่นๆ บางครั้งปนสีแดงด้านใน หลอดกลีบยาว 6-6.5 ซม. กลีบปากกว้างประมาณ 3.5 ยาวประมาณ 4.5 ซม. ปากกว้าง 10-15 ซม. ฝักรูปแถบ มีขนปุย ยาว 30–70 ซม. เมล็ดกว้างประมาณ 1-1.3 ยาวประมาณ 3-5 ซม. แคหัวหมูมีเขตการกระจายพันธุ์ในจีนตอนใต้ พม่า ภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคใต้ตอนบน ขึ้นตามป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณ จนถึงระดับความสูงประมาณ 1000 เมตร (ในต่างประเทศ 1700 เมตร)

#5
ไม้พุ่ม / ชบา รหัส7-34190-001-051
22 มิถุนายน 2013, 09:38:31 ก่อนเที่ยง

ชื่อวิทยาศาสตร์: Hibiscus syriacus L.; Hibiscus chinenis DC. ) เป็นไม้ในสกุล Hibiscus
วงศ์     MALVACEAE
ที่มีความผันแปรทั้งรูปทรงของใบ ลำต้น และดอกมาก ตลอดจนปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ง่าย จากความสวยงามของดอกทำให้ได้รับสมญาว่า Queen of Tropic Flower หรือ ราชินีแห่งไม้ดอกเมืองร้อน เป็นดอกไม้ประจำชาติของมาเลเซียและจาไมก้า และเป็นดอกไม้ประจำรัฐฮาวาย มีถิ่นกำเนิด จาก ประเทศจีน ทำการขยายพันธุ์โดย ปักชำกิ่ง ตอนกิ่ง เสียบยอด
ชบาเป็นไม้พุ่มขนาด 1-3 เมตร อาจสูงได้ถึง 7-10 เมตร ใบรูปไข่กว้าง ปลายใบแหลมเรียว ขอบใบจักหรือขอบใบเรียบ ดอกออกตามซอกใบใกล้ปลายยอด ก้านดอกยาว กลีบรองดอกมี 2 ชั้น สีเขียว ดอกมีทั้งดอกลาและดอกซ้อน มีหลายสี มีทั้งดอกใหญ่และดอกเล็ก ถ้าดอกลาจะมี 5 กลีบ เกสรตัวผู้เป็นดอกยาวยื่นขึ้นมากลางดอก ปลายสุดเป็นยอดเกสรตัวเมีย แยกเป็น 5 แฉกสีแดง เกสรตัวผู้ติดรอบๆ ดอกเป็นสีเหลือง ออกดอกตลอดปี
สรรพคุณทางยา
•   ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มีระดูขาว - นำดอกชบาสด 4 ดอกมาตำให้แหลก แล้วกินตอนท้องว่างในตอนเช้าติดต่อกัน 7 วัน นำดอกชบามาตากให้แห้งในที่ร่ม เมื่อแห้งสนิทดีแล้ว เอามาบดเป็นผง กินครั้งละ 1 ช้อนชาตอนเช้าติดต่อกันนาน 7 วัน
•   ประจำเดือนไม่มา ใช้ดอกชบา 3 ดอกบดให้แหลก แล้วผสมกับน้ำมะนาวสัก 2 ช้อนโต๊ะ หรือผสมกับนม 1 แก้ว แล้วดื่มตอนท้องว่างตอนเช้า จะช่วยปรับเรื่องประจำเดือนได้ เอาเฉพาะกลีบดอกชบาผสมกับน้ำตาลอ้อยหรือน้ำตาลปี๊บอย่าง ละเท่าๆ กันใส่ในโถแก้วมีฝาปิด แล้วเอาโถแก้วออกตากแดดติดต่อกันสัก 21 วัน น้ำตาลจะละลายผสมกับดอกชบา พอครบกำหนดแล้วเอามากินครั้งละ 2 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง นานสองถึงสามสัปดาห์ ยาสูตรนี้ถือว่า เป็นยาบำรุงประจำเดือน
•   ดับร้อนและแก้ไข้ - ใช้ดอกชบา 4 ดอกแช่ในน้ำต้มสุก 2 แก้ว แล้วดื่มต่างน้ำ จะช่วยดับร้อนผ่อนกระหายและแก้ไข้ได้ดี
•   รักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา เช่น ฮ่องกงฟุต - ใช้เปลือกต้น 50 กรัม แช่ในแอลกอฮอล์ 150 ซีซี นานหนึ่งวัน แล้วกรองเอาแต่น้ำยาไว้ทาบริเวณที่เป็นฮ่องกงฟุต
•   รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก - ใช้ใบชบาหรือฐานดอกก็ได้มาตำให้แหลก แล้วเอามาพอกบริเวณที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก น้ำเมือกจากใบจะช่วยรักษาแผลได้เป็นอย่างดี
•   บำรุงผม - ใช้ใบชบาหนึ่งกำมือมาล้างให้สะอาด ตำให้แหลก เติมน้ำเล็กน้อย แล้วคั้นเอาแต่น้ำ กรองเอากากทิ้ง แล้วใช้น้ำเมือกจากใบชบาสระผม ช่วยชำระล้างสิ่งสกปรก และบำรุงเส้นผมให้ดกดำเป็นเงางาม