• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

โรงเรียนได้รวบรวม พืชพรรณ นานาชนิดกว่า 600 ชนิด ที่ถูกรวบรวม เรียบเรียงไว้อย่างเป็นระบบ สืบค้นได้ง่าย

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - พิมพ์วิไล ยะงาม

#1
ไม้ต้น / ฝนแสนห่า,อบเชย รหัส 007-34190-001-572
22 มิถุนายน 2013, 11:46:56 ก่อนเที่ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cinnamomum bejolghota (Ham.) Sweet
ชื่อวงศ์ : Lauraceae
ชื่อสามัญ : Cinnamon
ชื่อพื้นเมือง : ฝนเสน่หา, สมุลแว้ง, อบเชยต้น, มหาปราบ
ถิ่นกำเนิด : ประเทศพม่า มาเลเซีย
ประโยชน์ : เปลือกใช้ปรุงเป็นเครื่องเทศ ยาหอม ยานัตถุ์ แก้อ่อนเพลียปวดศีรษะ   รากและใบ ใช้ต้มดื่มแก้ไข้จากการอักเสบหลังคลอด
ลักษณะทรงพุ่ม : เรือนยอดเป็นพุ่มกลมรูปเจดีย์ต่ำ
ลักษณะทั่วไป : ไม้ต้นสูง 15 - 20 เมตร
ฤดูการออกดอก : ออกดอกช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม 
เวลาที่ดอกหอม : -
การขยายพันธ์ : โดยการเพาะเมล็ดในถุงเพาะกล้าจนงอก และแข็งแรงก่อนจึงย้ายไปปลูกลงดิน
ข้อมูลอื่น ๆ :  ใบ  หนาแข็งและกรอบ มีเส้นใบออกจากโคนใบ 3 เส้น  ดอก  เล็ก สีเหลืองอ่อนหรือเขียวอ่อน ออกรวมกันเป็นช่อโตตามปลายกิ่ง ผล  เล็กรูปไข่กลับ เมล็ดมีเมล็ดเดียว เหมาะกับสภาพดินทุกชนิด ชอบดินร่วน กลางแจ้ง ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง  เนื้อ ไม้ มีกลิ่นหอมคล้ายการะบูน เนื้อหยาบแข็ง ค่อนข้างเหนียว ใช้ในการแกะสลักทำหีบใส่ของที่ป้องกันแมลงเครื่องเรือนไม้บุผนังที่สวยงาม รากและใบ ต้มให้หญิงที่คลอนใหม่ รับประทานและรักษาไข้ เปลือก มีรสหวานหอมใช้เข้ายานัตถุ์แก้ปวดศีรษะ เข้ายาบำรุงกำลัง แก้จุกแน่น ลงท้อง บำรุงดวงจิตใช้ปรุงเครื่องแกงเป็นเครื่องเทศ
#2
ไม้ต้น / แคแสด รหัส 7-34190-001-459
22 มิถุนายน 2013, 11:44:00 ก่อนเที่ยง
แคแสด  รหัส 7-34190-001-459
ชื่อวิทยาศาสตร์   Spathodea campanulata P.Beauv
วงศ์     Bignoniaceae
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
       แคแสดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 15-20 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลมค่อนข้างทึบ เปลือกลำต้นสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องตามยาว ใบเป็น ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ยาวประมาณ 30-45 ซม. ใบย่อยมี 4-9 คู่ รูปรีถึงรูปไข่ ขอบใบเป็นริ้วเล็กน้อย ปลายใบแหลมและมักจะงุ้มลง มีขนเล็กน้อย มีขนาดยาว 5-12 ซม. กว้าง 2-5 ซม. ดอกเป็น ช่อตั้ง ออกที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยมีจำนวนมาก โคนกลีบดอกติดกัน ปลายแผ่เป็นรูปแตร ปลายแยกเป็น 4-5 กลีบ กลีบดอกยับย่น สีส้มแสดถึงสีแดงแสด ดอกทยอยบาน ร่วงง่าย ออกดอกราวเดือน ตุลาคม - กุมภาพันธ์ ผลแบน คล้ายฝัก ปลายแหลม ผลแก่สีน้ำตาลดำ ผลแก่จะแตกเป็นด้านเดียวเมล็ดเล็กแบนมีปีก ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด จะเริ่มให้ดอกเมื่อมีอายุประมาณ 4 - 8 ปี
ชอบที่แจ้ง แดดจัด
ประโยชน์
เปลือกรักษาแผล โรคผิวหนัง แผลเรื้อรัง แก้บิด ใบและดอก ใช้พอกแผล ดอก ใช้รักษาแผลเรื้อรัง ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ นอกจากนี้ยังสามารถนำดอกมาประกอบอาหารได้เหมือนแคบ้าน
#3
ไม้พุ่ม / กระเพา รหัส 7-34190-001-458
22 มิถุนายน 2013, 11:40:11 ก่อนเที่ยง
กระเพา รหัส 7-34190-001-458
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Ocimum sanctum  L.
ชื่อพ้อง : Ocimum tenuiflorum  L.
ชื่อสามัญ :  Holy basil,  Sacred Basil
วงศ์ :   Lamiaceae (Labiatae)
ชื่ออื่น :  กะเพราขน กะเพราขาว กะเพรา (ภาคกลาง) กอมก้อ กอมก้อดง (เชียงใหม่) อีตู่ไทย (ภาคอีสาน)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 30-60 ซม. โคนต้นค่อนข้างแข็ง กะเพราแดงลำต้นสีแดงอมเขียว ส่วนกะเพราขาวลำต้นสีเขียวอมขาว ยอดอ่อนมีขนสีขาว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน รูปรี กว้าง 1-3 ซม. ยาว 2.5-5 ซม. ปลายใบมนหรือแหลม โคนใบแหลม ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย แผ่นใบสีเขียว มีขนสีขาว ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกสีขาวแกมม่วงแดงมีจำนวนมาก กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกัน ปลายเรียวแหลม ด้านนอกมีขน กลีบดอกแบ่งเป็น 2 ปาก ปากบนมี 4 แฉก ปากล่างมี 1 แฉก ปากล่างยาวกว่าปากบน มีขนประปราย เกสรเพศผู้มี 4 อัน ผล เป็นผลแห้ง เมื่อแตกออกจะมีเมล็ด สีดำ รูปไข่
ส่วนที่ใช้ : ใบ และยอดกะเพราแดง ทั้งสดและแห้ง ทั้งต้น
สรรพคุณ
1. แก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน (เกิดจากธาตุไม่ปกติ)
2. ใช้แก้อาการท้องอืดเฟ้อ แน่จุกเสียดและปวดท้อง
3. แก้ไอและขับเหงื่อ
4. ขับพยาธิ
5. ขับน้ำนมในสตรีหลังคลอด
6. ลดไข้
7. เป็นยาอายุวัฒนะ
8. เป็นยารักษาหูด กลากเกลื้อน ต้านเชื้อรา
9. เป็นยาสมุนไพร ใช้ไล่ หรือฆ่ายุง
10. เป็นสมุนไพร ไล่แมลงวันทอง
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
• แก้คลื่นไส้ อาเจียน (เกิดจากธาตุไม่ปกติ)
อาการท้องอืดเฟ้อ แน่นจุกเสียด ปวดท้อง
ใช้กะเพราทั้ง 5 ทั้งสด หรือ แห้ง ชงน้ำดื่ม รับประทาน
เด็กอ่อน ใช้ใบสด 3-4 ใบ
ผู้ใหญ่ ใบแห้ง 1 กำมือ, 4 กรัม ผงแห้ง 1 ช้อนโต๊ะ หรือ 2 ช้อนแกง ใบสด 25 กรัม
ภายนอก เด็กอ่อน ใบสด 10 ใบ
วิธีใช้ : ยาภายใน 
          เด็กอ่อน - ใช้ใบสด ใส่เกลือเล็กน้อย บดให้ละเอียด ผสมน้ำผึ้ง หยอดให้เด็กอ่อนเพิ่งคลอด 2-3 หยด เป็นเวลา 2-3  วัน จะช่วยขับลม และถ่ายขี้เทา
          ผู้ใหญ่ - ใช้ใบกะเพราแห้ง ชงกับน้ำดื่ม เป็นยาขับลม ถ้าป่นเป็นผง ให้ชงกับน้ำรับประ
          คนโบราณใช้ใบกะเพราสดแกงเลียงให้สตรีหลังคลอดรับประทาน ช่วยขับลม บำรุงธาตุ
          ยายภายนอก
          ใช้ใบสดทาบริเวณท้องเด็กอ่อน จะลดอาการท้องขึ้น ท้องเฟ้อได้
          กะเพรามี 2 ชนิด คือ กะเพราขาว และ กะเพราแดง  กะเพราแดงมีฤทธิ์แรงกว่ากะเพราขาว ในทางยานิยมใช้กะเพราแดง แต่ถ้าประกอบอาหารมักใช้กะเพราขาว
• ยาเพิ่มน้ำนมในสตรีหลังคลอด
ใช้ใบกะเพราสด 1 กำมือ แกงเลียงรับประทานบ่อยๆ หลังคลอดใหม่ๆ
• เป็นยารักษากลากเกลื้อน
ใช้ใบสด 15-20 ใบ ตำหรือขยี้ให้น้ำออกมา ใช้ทาถูตรงบริเวณที่เป็นกลาก ทาวันละ 2-3 ครั้ง จนกว่าจะหาย
• เป็นยารักษาหูด
ใช้ใบกะเพราแดงสด ขยี้ทาตรงหัวหูด เข้า-เย็น จนกว่าหัวหูดจะหลุด
ข้อควรระวัง : น้ำยางที่ใช้สำหรับกัดหูดนี้เป็นพิษมาก ดังนั้นควรใช้ด้วยความระวัง
                          - อย่าให้เข้าตา
                          - ให้กัดเฉพาะตรงที่เป็นหูด อย่าให้ยางถูกเนื้อดี ถ้าถูกเนื้อดี เนื้อดีจะเน่าเปื่อย ซึ่งรักษาให้หายได้ยาก
• เป็นยาสมุนไพร ใช้ไล่หรือฆ่ายุง
ใช้ทั้งใบสดและกิ่งสด 1 กิ่งใหญ่ ๆ เอาใบมารขยี้ แล้ววางไว้ใกล้ๆ ตัว จะช่วยไล่ยุงได้ และยังสามารถไล่แมลงได้ด้วย น้ำมันกะเพรา เอาใบสดมากลั่น จะได้น้ำมันกะเพรา ซึ่งมีคุณสมบัติไล่ยุงได้ดีกว่าต้นสดๆ
• เป็นสมุนไพรไล่แมลงวันทอง
ใช้น้ำมันที่กลั่นจากใบสด ตามความเหมาะสม น้ำมันหอมระเหยนี้ไปล่อแมลง จะทำให้แมลงวันทองบินมาตอมน้ำมันนี้
สารเคมี : ในใบพบ Apigenin, Ocimol, Linalool , Essential Oil, Chavibetal
#4
ไม้พุ่ม / พุดฝรั่ง รหัส 7-34190-001-457
22 มิถุนายน 2013, 11:35:40 ก่อนเที่ยง
พุดฝรั่ง รหัส  7-34190-001-457
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tabernaemontana divaricata (L.) R. Br. ex  Roem. & Schult.
ชื่อสามัญ : Crepe Jasmine, East Indian Rosebay, Clavel De La India
ชื่ออื่น : พุดจีบ พุดสวน พุดสา (ภาคกลาง), พุดป่า (ลำปาง)
วงศ์ : APOCYNACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 1.5-2.5 ม. ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาว

     ใบ ใบเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ใบเดี่ยว รูปรีหรือรูปใบหอก กว้าง 3-5 ซม. ยาว 8-12 ซม. โคนใบรูปลิ่มหรือสอบ ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบ สีเขียวเป็นมัน

     ดอก ดอกช่อสีขาว ดอกออกซอกใบใกล้ี่ปลายกิ่ง ช่อละ 2-3 ดอก กลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดรูปทรงกระบอกสีขาว ยาว 1.5-2.5 ซม. ปลายแยกเป็น 5-10 กลีบ ซ้อนเวียนเป็นกังหัน ปลายช่วงบนสีเหลืองอ่อน มีใบประดับรูปแถบหรือสามเหลี่ยมแคบ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกันเล็กน้อย  มีกลิ่นหอม

     ผล ผลเป็นฝักคู่รูปกระสวยเบี้ยว ยาว 2.5-5.0 ซม. ปลายแหลมหรือเป็นติ่งหนามและโค้งขึ้น เมล็ดรูปกระสวยเบี้ยว สีน้ำตาล มีเยื่อหุ้มสีส้มแดง
#5
ไม้พุ่ม / พุดเศรษฐีสยาม รหัส 7-34190-001-456
22 มิถุนายน 2013, 11:33:50 ก่อนเที่ยง
พุดเศรษฐีสยาม รหัส 7-34190-001-456
เป็นไม้ต้นขนาดเล็กในวงศ์ APOCYNACEAE
ลักษณะต้น สูงราว 4-5 เมตร ตำต้นตรง แตกกิ่งก้านสาขาต่ำ เปลือกต้นสีเทา มีรอยตามแนวยาวของต้น
ใบ เป็นใบเดี่ยวออกตรงกันข้ามตามกิ่ง รูปทรงรี กว้างราว 5-8 ซม.ยาว 8-15 ซม.ใบหนา สีเขียวมัน โคนใบสอบ ปลายใบแหลมมน ขอบใบเป็นคลื่น มีเส้นแขนงใบ 9-11 คู่
ดอก ออกลักษณะเป็นกลุ่มแยกซ้ายขวาและกลาง มี 1-5 ดอก ดอกตูมสีเขียว ดอกบานโคนเป็นหลอดยาว ปลายเป็น 5 กลีบ บิดเป็นใบพัด โคนดอกติดกัน แต่ละกลีบกว้าง 0.8-1 ซม.ยาว 2.5-3.5 ซม.พอดอกร่วงไม่มีผล
พุดเศรษฐีสยามนี่โตเร็วมาก ใบสวยใหญ่ ดอกหอมเริ่มบานตอนเย็น อยู่ได้สองสามวัน มีดอกตลอดปี
การขยายพันธุ์โดยการเสียบกิ่งอย่างเดียว
การขยายพันธุ์ต้นพุดเศรษฐีสยาม เกษตรกรใช้ต้นพุดจีบเป็นต้นตอ โดยนำกิ่งพันธุ์พุดจีบ มาปักชำในถุงดำที่มีแกลบดำเป็นวัสดุปลูก ประมาณ 4 -5 เดือน จึงนำมาใช้เป็นต้นตอ ทาบกิ่งกับต้นพุดเศรษฐีสยามที่ปลูกไว้ โดยใช้มีดคมๆ ตัดกิ่งต้นตอให้เป็นแนวเฉียง เลือกกิ่งพันธุ์ต้นพุดเศรษฐีสยาม ที่มีลักษณะไม่แก่ไม่อ่อนเกินไป ใช้มีดปาดส่วนโคนกิ่งให้เป็นแผลยาวขนาดเท่ากับแผลของต้นตอ นำต้นตอมาทาบกับกิ่งพันธุ์ดี พันด้วยผ้าพลาสติกให้แน่น แล้วใช้เชือกฟางผูกโยงต้นให้แน่น ประมาณ 45 วัน แผลที่ทาบกิ่งจะแนบสนิทกัน จึงตัดลงมาอนุบาลไว้ 7-10 วัน ก็สามารถนำไปปลูกหรือขายได้
พุดเศรษฐีสยาม" เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กในวงศ์ APOCYNACEAE สูงราว 4-5 เมตร ตำต้นตรง แตกกิ่งก้านสาขาต่ำ เปลือกต้นสีเทา มีรอยตามแนวยาวของต้น ใบ เป็นใบเดี่ยวออกตรงกันข้ามตามกิ่ง รูปทรงรี กว้างราว 5-8 ซม.ยาว 8-15 ซม.ใบหนา สีเขียวมัน โคนใบสอบ ปลายใบแหลมมน ขอบใบเป็นคลื่น มีเส้นแขนงใบ 9-11 คู่ ดอก ออกลักษณะเป็นกลุ่มแยกซ้ายขวาและกลาง มี 1-5 ดอก ดอกตูมสีเขียว ดอกบานโคนเป็นหลอดยาว ปลายเป็น 5 กลีบ บิดเป็นใบพัด โคนดอกติดกัน แต่ละกลีบกว้าง 0.8-1 ซม.ยาว 2.5-3.5 ซม.พอดอกร่วงไม่มีผล ขยายพันธุ์โดยการเสียบกิ่งอย่างเดียวเท่านั้น ข้อมูลจากนสพ.คมชัดลึก วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2547