• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

โรงเรียนได้รวบรวม พืชพรรณ นานาชนิดกว่า 600 ชนิด ที่ถูกรวบรวม เรียบเรียงไว้อย่างเป็นระบบ สืบค้นได้ง่าย

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - พรพิมล มิตสีดา

#1
คอมพิวเตอร์กราฟิกพรรณไม้ / เอื้องเขาแกะ
25 มิถุนายน 2013, 14:22:28 หลังเที่ยง
เรื่อง เอื้องเขาแกะ     
นางสาวพรพิมล มิตสีดา เลขที่12 ชั้นม.5/1
#2
ไม้พุ่ม / พุดน้ำบุศย์7-34190-001-420
22 มิถุนายน 2013, 14:20:50 หลังเที่ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์   Gardenia carinata Wall.
ชื่ออื่น : ตะบือโก (มลายู นราธิวาส), บาแยมาเดาะ (มลายู นราธิวาส), ระนอ (มลายู ยะลา), ระไน (ยะลา), รักนา (ใต้,ภูเก็ต), รัตนา (ใต้)
ชื่อสามัญว่า Golden Gardenia
เป็นไม้ดอกหอม ที่อยู่ในสกุล Gardenia
และอยู่ใน วงศ์เข็ม (RUBIACEAE)
ในปัจจุบันจะพบเห็นว่า มีข้อมูลที่พบส่วนใหญ่จะนิยมเขียนชื่ออยู่สองแบบนี้ คือ พุดน้ำบุศย์ และ พุดน้ำบุษย์ จากเดิมที่เคยเข้าใจไปเองว่าน่าจะหมายถึงสีของบุษราคัม แต่หากอ้างอิงตามสำนักหอพรรณไม้ จะใช้ชื่อว่า "พุดน้ำบุศย์" ซึ่งตรงกับในหนังสือไม้ดอกหอม ฉบับปรับปรุงและเพิ่มเติม โดย ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ด้วยเช่นกัน
#3
ไม้พุ่ม / เข็มอินเดีย7-34190-001-419
22 มิถุนายน 2013, 14:14:24 หลังเที่ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cornus sanguinea
วงศ์ : Cornaceae (The Dogwood Family)
ชื่อสามัญ : Dogwood
ชื่ออื่น ๆ : -
ลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นนพรรณไม้พุ่มเตี้ย มีเนื้ออ่อน ลำต้นอาจสูงราว 18 ฟุต มีขนระคายอยู่ทั่วลำต้นและใบด้วย ลำต้นและกิ่งก้านจะเปราะ
ใบ : เป็นใบไม้ที่ไม่มีใบดก มีใบเป็นสีเขียว ลักษณะของใบคล้าย ๆ กับใบโหระพา คือใบเป็นรูปมนรี ปลายอาจจะแหลม ยาวประมาณ 1.5 ถึง 2 นิ้ว
ดอก : จะออกดอกเป็นช่อ อยู่ตามยอดของต้นเช่นเดียวกับดอกเข็ม ดอกจะมีอยู่ 3 สี คือ สีขาว สีแดง และสีชมพู จะออกดอกตลอดปี
การขยายพันธุ์ : เป็นไม้กลางแจ้ง ขึ้นได้ในดินทุกชนิด มีความชื้นพอประมาณ ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำและตอนกิ่ง
อื่น ๆ : เป็นพรรณไม้ที่มีอยู่มากในอังกฤษ ยุโรป และเอเชีย แต่ในไทยยังไม่ปรากฏ มีผู้นำเข้ามาปลูกในไทยเมื่อปี พ.ศ.2513 – 2514 และได้ทำการขยายพันธุ์แจกให้ประชาชน จึงเป็นไม้ที่รู้จักกันอย่างรวดเร็ว
ที่มา : จากหนังสือพจนานุกรมไม้ดอกไม้ประดับในเมืองไทย โดย ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม หน้า 140
#4
ไม้เลื้อย / แว่นแก้ว7-34190-001-418
22 มิถุนายน 2013, 14:08:37 หลังเที่ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hydrocotyle umbellata L.
ชื่อวงศ์ : Umbelliferae
ชื่อสามัญ : Water pennywort
ชื่อพื้นเมือง : บัวแก้ว 
ชนิดพืช [Plant Type] : พืชน้ำมีอายุหลายปี 
ขนาด [Size] : สูง 30 เซนติเมตร 
สีดอก [Flower Color] : สีขาว 
ฤดูที่ดอกบาน [Bloom Time] : ตลอดปี 
อัตราการเจริญเติบโต [Growth Rate] : เร็ว 
ลักษณะนิสัย [Habitat] : ชอบดินชื้นแฉะและมีอินทรีย์วัตถุสูง หรือที่ระดับน้ำ 10-15 เซนติเมตร   
ความชื้น [Moisture] : สูง   
แสง [Light] : แดดเต็มวัน
ลักษณะทั่วไป (Characteristic) : ไม้ริมน้ำหรือไม้โผล่เหนือน้ำ อายุหลายปี ลำต้นเป็นไหลกลมยาวเรียว ทอดเลื้อย
ไปตามพื้นดินที่แฉะๆ แตกรากและใบตามข้อ
  ใบ (Foliage) :  ใบเดี่ยว ใบรูปกลมหรือเกือบกลม ขนาด 3-5 เซนติเมตร ขอบใบหยักเว้าตื้นๆ ก้านใบยาวเรียว
ติดกับตัวใบที่บริเวณกลางใบ ผิวใบด้านบนเรียบเป็นมันสีเขียวสด
  ดอก (Flower) :  สีขาว  ออกเป็นช่อแบบช่อซี่ร่มตามซอกโคนใบ  มีก้านช่อดอกยาว ดอกย่อยแตกจาก ก้านช่อ
ดอกเป็นกระจุกๆ ช่อละ 2-3 กระจุก  แต่ละกระจุกมีดอกย่อย 12-15 ดอก มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ  กลีบดอก  5 กลีบ
และเกสรตัวผู้ 5 อัน
  ผล (Fruit) : ผลแห้งแก่แล้วแตกเป็น 2 ซีก และแต่ละซีกมีเพียง 1 เมล็ด

การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) : ปลูกเป็นไม้คลุมดินในพื้นที่ชื้นแฉะและประดับในอ่างน้ำ

ประโยชน์ : ชาวบ้านนำมารับประทานเป็นผัก

•ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ: บัวแก้ว บัวบก ผักหนอกใหญ่
•ลักษณะ: แว่นแก้วเป็นไม้น้ำมีอายุหลายฤดู ลำต้นเป็นไหลทอดยาวตามพื้นดิน มีข้อปล้อง มีรากและใบงอกตามข้อทุกส่วน มีกลิ่นหอม ชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะและริมน้ำ พบมากในภาคเหนือ และภาคกลาง
•ใบ: เป็นใบเดี่ยว แตกออกสลับข้อละ 1–2 ใบ ก้านใบอวบ ยาว 10–15 ซม. ใบรูปเกือบกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 5–10 ซม. ขอบใบหยักโค้งกว้าง
•ดอก: ดอกเป็นดอกช่อแบบอัมเบล เกิดที่ซอกใบมีก้านช่อดอกยาว ดอกมีขนาดเล็ก มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ ผลชนิดแห้งแล้วแตกออกเป็น 2 ซีก เมล็ดมีขนาดเล็ก
•การดูแล:
•การขยายพันธุ์: ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด และแยกต้นอ่อน
•ประโยชน์: ทางด้านอาหาร เป็นผักจิ้มเครื่องหลน หรือเครื่องเคียง คั้นน้ำเป็นน้ำดื่ม, เป็นไม้ประดับในอ่างปลา, ทางด้านสมุนไพร ทั้งต้นใช้แก้ตาแดง ขับปัสสาวะ ซ้ำใน บวม พิษไข้ ท้องอืด ท้องเสีย
#5
ไม้พุ่ม / เสลดพังพอนตัวเมีย รหัส 7-34190-001-417
22 มิถุนายน 2013, 13:59:32 หลังเที่ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Clinacanthus nutans (Burm.f) Lindau.
ชื่อสามัญ :   -
วงศ์ :   ACANTHACEAE
ชื่ออื่น :  ผักมันไก่ ผักลิ้นเขียด (เชียงใหม่) พญาปล้องดำ (ลำปาง) พญาปล้องทอง (ภาคกลาง) ลิ้นมังกร โพะโซ่จาง (กะเหรี่ยง) เสลดพังพอนตัวเมีย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้พุ่ม ลำต้นและกิ่งก้านสีเขียว ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวออกตรงข้ามกัน รูปรีแคบขอบขนาน กลีบดอกสีแดงส้ม โคนกลีบดอกติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 2 ส่วน ขึ้นตามป่า หรือปลูกกันตามบ้าน ขยายพันธุ์โดยวิธีปักชำ เสลดพังพอนมีชื่อพ้องกัน คือ เสลดพังพอนตัวผู้ และเสลดพังพอนตัวเมีย แต่ต่างกันที่เสลดพังพอนตัวผู้มีหนาม สรรพคุณอ่อนกว่าเสลดพังพอนตัวเมีย เพื่อไม่ให้สับสนจึงเรียกเสลดพังพอนตัวเมียว่า พญายอ และตำรายาไทยนิยมนำมาทำยา
ส่วนที่ใช้ : ส่วนทั้ง 5  ใบสด  ราก
สรรพคุณ :
•ส่วนทั้ง 5  -   ใช้ถอนพิษ โดยเฉพาะพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ตะขาบ แมลงป่อง รักษาอาการอักเสบ งูสวัด ลมพิษ แผลน้ำร้อนลวก
•ใบ - นำมาสกัดทำทิงเจอร์และกรีเซอรีน ใช้รักษาแผลผิวหนังชนิดเริ่ม Herpes และรักษาแผลร้อนในในปาก Apthous ตับพิษร้อน แก้แผลน้ำร้อนลวก
•ราก  - ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับประจำเดือน แก้ปวดเมื่อยบั้นเอว 
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
•รักษาอาการอักเสบ ถอนพิษ รักษาแผลร้อนในในปาก เริม งูสวัด
- ใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมียสด 10-20 ใบ (เลือกใบสีเขียวเข้มสดเป็นมันไม่อ่อนไม่แก่จนเกินไป)นำมาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาแผลและเอากากพอกแผล
- ใช้ใบเสลดพังพอน 1,000 กรัม หมักใน alcohol 70 % 1,000 ซีซี. หมักไว้ 7 วัน นำมากรองแล้วเอาไประเหยให้เหลือ 500 ซีซี. เติม glycerine pure ลงไปเท่ากับจำนวนที่ระเหยไป (500 ซีซี.) นำน้ำยาเสลดพังพอนกรีเซอรีนที่ได้ทาแผลเริม งูสวัด แผลร้อนในปาก ถอนพิษต่างๆ
•ทาบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นผื่นคัน
- ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลดี
•แก้แผลน้ำร้อนลวก
- ใช้ใบตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้ แผลจะแห้ง
- นำใบมาตำให้ละเอียดผสมกับสุรา ใช้พอกบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี
สารเคมี :
          ราก  พบ Betulin, Lupeol, β-sitosterol
          ใบ  พบ Flavonoids
สมุนไพรรักษาเริม และ งูสวัดด้วยเสลดพังพอนตัวเมีย
ชื่อ » เสลดพังพอนตัวเมีย
ชื่อพฤกษศาสตร์   Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau.
ชื่ออื่นๆ »
ผักมันไก่, ผักลิ้นเขียด(เชียงใหม่), พญาปล้องคำ(ลำปาง), พญาปล้องดำ
พญาปล้องทอง(ภาคกลาง), พญายอ(ทั่วไป)
วิธีใช้ »
1. ใช้ใบสด 1-2 ใบ ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดเติมแอลกอฮอล์ 70%
หรือเหล้าขาวพอให้ยาชุ่มคนให้เข้ากัน เอาสำลีชุบน้ำยา
้ทาบริเวณที่มีอาการบ่อยๆ วันละ 4-5 ครั้ง

2. ใช้ในรูปเสลดพังพอนในกลีเซอรีน
ทำโดยนำใบสดที่สะอาดประมาณ 1 กิโลกรัม
ตำให้ละเอียด เติมแอลกอฮอล์ 70 % 1 ลิตรหมักไว้ประมาณ7 วัน

กรองเอาเฉพาะน้ำยาใส่ภาชนะตั้งในหม้อน้ำร้อนเพื่อระเหยแอลกอฮอล์ออก

(ห้ามตั้งบนเตาไฟโดยเด็ดขาด)
ให้เหลือประมาณครึ่งหนึ่งแล้วเติมกลีเซอรีนปริมาณเท่าตัว
แบ่งใส่ขวดเล็กเก็บไว้ใช้ได้นาน 6 เดือน
ใช้เสลดพังพอนกลีเซอลีนป้ายบริเวณที่มีแผลอย่างน้อยวันละ 3-5 คร้ง

ข้อควรระวัง »

ไม่ควรใช้วิธีตำพอกลงบริเวณที่มีอาการโดยตรงเพราะจะทำให้กากติดแผล
ทำความสะอาด ยาก อาจทำให้ติดเชื้อเป็นหนองได้

หมายเหตุ »
1. กลีเซอรีนสามารถหาซื้อได้จากร้านขายยา
2. กลีเซอรีนบอแรกซ์ใช้แทนกลีเซอรีนได้

ประสบการณ์ตรงและสูตรลับรักษางูสวัสดิ์ »
ผู้พัฒนาเว็บไซต์samunpai.com เคยป่วยเป็นโรคงูสวัสดิ์

อาการของโรค เริ่มจากมีตุ่มเล็กๆขึ้นมาและเจ็บ เหมือนเป็นสิวหัวช้าง
หลังจากนั้นภายใน5 ชั่วโมงตุ่มเริ่มแตก เริ่มกลายเป็นผื่น คล้ายๆ เป็นโรคเริม
(แพทย์บางท่านยังไม่สามารถแยกออกได้ว่าอันไหนเป็นเริมอันไหนเป็นงูสวัสดิ์)
หลังจากที่ตุ่มแตกแล้ว อาการจะปวดแสบปวดร้อน ตามร่างกาย
และปวดตามข้ออย่างรุนแรง และตุ่มจะเริ่มซ้อนๆ ขึ้นหลายๆชั้น คล้ายพวงองุ่น
และเริ่มกระจายออกไปด้านข้างเหมือนถูกงูพัน

ทางผมเองได้ไปหาแพทย์หลายต่อหลายที่ แพทย์บอกว่าเกิดจาก
เมื่อสมัยยังเด็กตอนเป็นอีสุกอีกใสเชื้อบางส่วนถูกเก็บอยู่ในร่างกาย
เมื่อร่างกายอ่อนแอจึงเกิดขึ้นอีก และแพทย์ได้แนะนำให้ใช้
ใบจากต้นหนุมานประสานกายทาแต่อาการของผมเองไม่ดีขึ้น
และปวดตามตัวหนักจนไม่สามารถนอนได้
และทางผมได้รับสูตรยาจากบุคคลท่านหนึ่ง
ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้อย่างน่าอัศจรรย์
สูตรยา
ให้นำด่างทับทิม ผสมน้ำอุ่น และเช็ดตามตุ่มแผลต่างๆเพื่อฆ่าเชื้อ
และให้นำว่านหางจรเข้ ทาหลายๆรอบ และให้ใช้ด้วยผงวิเศษตราร่มชูชีพปะตามแผล
ก่อนว่านหางจรเข้แห้ง (สูตรนี้จะทำให้แผลเริ่มแห้งภายใน1-4 วัน) ซึ่งด้วยสรรพคุณ
ของว่านหางจรเข้แล้ว จะทำให้ไม่เกิดแผลเป็น
*** ช่วงแผลแห้งจะเกิดอาการคัน ซึ่งถ้าเกาอาจเกิดเป็นแผลเป็นได้
โรคนี้เป็นโรคที่น่ากลัวโรคหนึ่ง ผู้ป่วยทรมานจากอาการปวดมาก
และสามารถเกิดได้กับทุกคน ถ้าหากร่างกายอ่อนแอ
#6
เฟิน / เฟินก้านดำ7-34190-001-280
22 มิถุนายน 2013, 13:45:59 หลังเที่ยง
เฟินก้านดำ รหัส  7-34190-001-280
ชื่อวงศ์  PAKERIACEAE
สกุล     Adiantum (อ่าน add-ee-an' tum) เฟินก้านดำ หรือเฟินผมแหม่ม Maidenhair Fern
         
         เป็นเฟินที่ หลายๆ คนหลงใหลในความอ่อนช้อยสวยงาม ของก้านสีดำ เล็กๆ อ่อนโค้ง ใบเป็นแผ่นเกล็ดเล็กๆ สีเขียวสดใส บางชนิดมีใบอ่อนสีแดงสีชมพู หรือสีส้ม เฟินชนิดนี้ ปลูกในสภาพอากาศไม่ร้อนมากนัก มีความชุ่มชื้นในอากาศสูง ดินเป็นกรดอ่อนและ ระบายน้ำดี ได้รับแสงพอประมาณ จะดีกว่าปลูกในสภาพร่มเงาจัด เพราะจะทำให้ไม่แข็งแรงและเน่าง่าย คำว่า "adiantum" มาจากภาษากรีก "adiantos" แปลว่า unwetted, ไม่เปียกน้ำ มาจากเฟินก้านดำบางชนิด ใบของมันไม่เปียกน้ำแม้จะโดนน้ำก็ตาม เฟินสกุลนี้ เป็นเฟินดิน หรือเฟินเกาะอาศัยที่เริ่มจากพื้นดิน มีขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ลำต้นแท้จริงเป็นเหง้าเลื้อยยาว เหง้าเป็นเส้นคล้ายเส้นลวด มีสีดำเป็นเงามัน ที่ปลายเหง้าปกคลุมด้วย ขนหรือเกล็ดเรียวสีดำ ก้านใบยาว สีดำเป็นมันวาว ลักษณะใบ มีชนิดที่เป็นใบเดี่ยว บางชนิดเป็นใบประกอบแบบขนนกธรรมดา ถึงขนนก 4 ชั้น รูปร่างใบของแต่ละชนิดแตกต่างกันออกไปอย่างกว้างขวาง มีทั้งชนิดที่เป็นแผ่นบางๆ ไปจนถึงชนิดที่ใบหนาเหมือแผ่นหนังแต่ละท้องถิ่นเรียกเฟินก้านดำไม่เหมือนกัน อย่างเช่น แถบลุ่มน้ำอเมซอนในเปรูเรียก Culatrillo ใฯอับสปอร์ใต้ใบของเฟินก้านดำบราซิลเรียก Avenca อับสปอร์เกิดใต้ใบ ตามริมขอบจักของใบย่อย มีเยื่อรัดรอบกลุ่มสปอร์ ไม่มีเยื่ออินดูเซียม แต่ริมขอบใบพับลงมาปิดสปอร์ จัดเป็น เยื่ออินดูเซียปลอม (false-indusia) เพื่อป้องกันสปอร์ รูปร่างของอับปสอร์เป็นรูปรี tetrahedral, spherical หรือ bilateral ส่วนมีวิธีการปลูกเฟินก้านดำ ที่มีถิ่นกำเนิดในบ้านเรา 
#7
เฟิน / เฟินราชินีเงิน7-34190-001-279
22 มิถุนายน 2013, 13:40:40 หลังเที่ยง
เฟินราชินีเงิน รหัส 7-34190-001-279
ชื่ออื่น : เฟินเงิน, Sword Brake, เฟินราชินีเงิน (ชื่อทางการค้า)ใบประกอบขนนก 2 ชั้น ปลายคี่ ใบย่อยมี 2-5 คู่ ใบย่อยขอบใบเขียวเข้ม ด้านกลางใบสีขาวเทา ใบสปอร์ยาวและเรียวแคบกว่าใบปกติ ก้านใบยาว 7-15ซ.ม. ปลูกในร่มได้ดี มีผู้นำเข้าจากประเทศอังกฤกษ ตั้งแต่เมื่อราวปี 2433 โดยไม่ทราบแหล่งกำเนิดที่แน่นอน มีหลากหลายสายพันธุ์เช่นกัน
#8
ไม้เลื้อย / แป๊ะตำปึง7-34190-001-278
22 มิถุนายน 2013, 13:23:11 หลังเที่ยง
แป๊ะตำปึง  รหัส  7-34190-001-278
ชื่อทางพฤกษศาสตร์       Gynura sarmentosa DC.
ชื่ออื่น                        "จินฉี่เหมาเยี่ย"จักรนารายณ์"
วงศ์                            COMPOSITEA
ชื่อพ้อง                       Gynura divaricata DC.G. auriculata Cass., G. procumbens Merr.,G. sarmentosa DC.
ชื่ออื่นๆ                       Purple passion vine, Purple velvel plant

              มีด้วยกัน 2 ชนิด คือ ชนิดใบนุ่มเหมือนกำมะหยี่ ใบเป็นสีเขียวอ่อนเส้นใบด้านบนลึกเช่นเดียวกับกลางใบ แต่ด้านหลังใบกลับนูนขึ้น กิ่งก้านเปราะหักง่าย ส่วนอีกชนิดหนึ่งใบมีลักษณะค่อนข้างแหลม สีเขียว ประโยชน์ใช้ใบรับประทานสด ซึ่งมีกลิ่นคล้ายผลชมพู่สาแหรกขณะผลอ่อน แต่มีรสเย็น การขยายพันธุ์ใช้กิ่งปักชำ อนึ่งบางท่านบอกว่าชนิดใบยาวเรียก "จินฉี่เหมาเยี่ย" สรรพคุณ
ใช้ใบสดของแปะตำปึง รับประทานสดวันละ 5-7 ใบ ประมาณ 7 วัน รับประทานง่าย ๆ ไม่มีรสฝาดหรือขมแต่อย่างใด หรือจะรับประทานเป็นของเคียงกับลาบ ส้มตำ แหนม หรือจะผสมไปในสลัดผักก็ได้ โรคที่พืชสมุนไพรชนิดนี้มีผู้รับรองว่ารักษาหายแล้ว ได้แก่ โรคเบาหวาน, ความดันสูง-ต่ำ, หืดหอบ, ภูมิแพ้, โรคมะเร็งทุกชนิด, ริดสีดวง-ทวารหนัก, งูสวัด, โรคเกาต์ และขับนิ่ว, แผลสะเก็ดเงิน, พุพองฝีหนองทั่วไป, โรคหัวใจ, โลหิตจาง, เนื้องอกต่าง ๆ ในไต, ปวดเหงือกปวดฟัน, แผลอักเสบ, ปวดประจำเดือน, ไขมันในเส้นเลือด, ไทรอยด์, ปวดเส้นปวดหลัง, โรคกระเพาะอาหาร, ตาอักเสบ, ตาเป็นต้อ ขุ่นมัว ก็บอกแล้วไงว่าเป็นพืชสมุนไพรครอบจักรวาล
สำหรับ โรคตา ต่าง ๆ ใช้แปะตำปึงโขลกแล้วนำมาพอกที่ตาประมาณ 20-30 นาที หรือโรคเกี่ยวกับผิวหนังเช่น งูสวัด, ผิวเป็นหนองอักเสบ พุพอง ใช้แปะตำปึง
มาโขลกผสมกับน้ำตาลทรายแดง โดยอาศัยคุณสมบัติของน้ำตาลทรายแดง ช่วยในการจับแปะตำปึงไม่    ให้หลุดร่วงง่ายเท่านั้นเอง
ควรระวังเรื่องอาหารของแสลง เช่นเนื้อ, กุ้ง, หมึก    ปู, ปลาทู, ปลาร้า,  กะปิ, หน่อไม้, ข้าวเหนียว, แตงกวา, หัวผักกาด, เผือก, สาเก, เครื่องดองของเมา และถ้าสุขภาพไม่แข็งแรงควรงดน้ำชากาแฟด้วย
     
หลังจากที่ตัดกิ่งแปะตำปึง และเด็ดใบมารับประทานแล้ว จึงตัดกิ่งเป็นท่อน ๆ ยาวประมาณ 10-15 ซม. มาปักชำนำไปไว้ในที่รำไร และหมั่นรดน้ำเสมอ ประมาณ 7-10 วัน
ก็จะแตกรากเป็นต้นใหม่ แต่พันธุ์ไม้ชนิดนี้ไม่ชอบร่มมากนัก และอายุต้นจะนานเพียง 1 ปีเท่านั้น

ลักษณะทั่วไป
      พืชใบเลี้ยงคู่ ลำต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 1 – 3 ฟุต ลักษณะใบตัวเมียมี ใบโค้งมน ขอบใบหยัก ใบหนานุ่มคล้ายกับกำมะหยี่ จะออกดอกเป็นสีเหลือง ขนาดเล็กๆ เป็นช่อชูขึ้นตรงยอด ส่วนตัวผู้มีลักษณะใบเรียว ยาวกว่าตัวเมีย และไม่ออกดอก รสชาติของใบยาคล้ายชมพู่เพชรที่ยังไม่แก่


#9
ไม้พุ่ม / ราตรี7-34190-001-277
22 มิถุนายน 2013, 13:10:34 หลังเที่ยง
ราตรี รหัส  7-34190-001-277
ชี่อพฤกษศาสตร์ : Cestrum nocturnum L
วงศ์                : SOLANACEAE
ชื่อสามัญ         : Lady of the night, Night jessamine,Night  blooming  jasmine,  Queen of the night

ลักษณะทั่วไป (Characteristic)
:  ไม้พุ่มขนาดกลาง แตกกิ่งก้านจำนวนมากเป็นพุ่ม กิ่งก้านเป็นเหลี่ยมโค้งลง เปลือกลำต้นสีเทาอ่อนปนขาว     ราตรีเป็นไม้พุ่ม  สูง 3-4 เมตร  กิ่งก้านเป็นเหลี่ยม โค้งลง     เปลือกต้นสีเทาอ่อนเกือบขาว  ใบ  หนา เป็นพุ่ม ใบเดี่ยวออกสลับ รูปรี  โคนและปลายเรียวยาว  ดอกช่อ  ขาวอมเขียว  กลิ่นหอมแรง เป็นพิษทำให้มึนเมาดอกออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง    กลีบดอกเป็นหลอดยาว ปลายแยก เป็น 5 กลีบ  ผล ค่อนข้างกลม  ออกดอกตลอดปี การขยายพันธุ์  ปักชำกิ่ง ตอนกิ่ง 


ใบ (Foliage) : ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ ใบรูปรี กว้าง 4-6 เซนติเมตร ยาว 8-15 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ  ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้ม

ดอก (Flower) :  สีขาวนวล  มีกลิ่นหอมแรง  ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะแยกแขนงตามซอกใบและปลายกิ่ง ช่อดอกยาว 8-15 เซนติเมตร  มีดอกย่อยจำนวนมาก   กลีบเลี้ยงสีเขียว รูปถ้วย   โคนเกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดแคบๆ  ยาว 2-2.5 เซนติเมตร  ปลายแยกเป็น  5 แฉก  ดอกย่อยบานไม่พร้อมกัน   ดอกบานตอนกลางคืนถึงเช้า ดอกบานเต็มที่กว้าง 0.8-1.3 เซนติเมตร

ผล (Fruit) : ผลสดแบบมีเนื้อหลายเมล็ด ค่อนข้างกลม สีขาวขุ่น ฉ่ำน้ำ

   
ประโยชน์
  : เป็นต้นไม้ที่มีดอกหอม  ใบและผลมีโทษ  ถิ่นกำเนิดหมู่ เกาะเวสต์อินดีส  ชอบดินร่วนที่มีการระบายน้ำดี 

การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) :    ปลูกประดับสวน ริมรั้วที่ห่างจากตัวบ้านแพราะดอกมีกลิ่น

ส่วนที่เป็นพิษ :  ใบ ผล เปลือกต้น

สารพิษ :    ผลดิบมีสารพวก solanine alkaloids ผลสุกมี  atropine alkaloids ใบมี nicotine, nornicotine alkaloids เป็นต้น

การเกิดพิษ : ถ้ารับประทานเข้าไปภายในครึ่งชั่วโมงจะมีอาการปากคอแห้ง มึนงง ม่านตาขยาย อุณหภูมิในร่างกายขึ้นสูง หัวใจเต้นเร็ว ปัสสาวะไม่ออก การหายใจจะช้าลง

การรักษา
-ส่งโรงพยาบาลด่วน
-ช่วยการหายใจ
-ทำให้อาเจียน หรือใช้ activated charcoal (ถ่าน) รับประทานเพื่อดูดเอาสารพิษออก
-ถ้าทำในลำดับสามไม่ได้ผล ให้ล้างท้อง
-รักษาตามอาการ
#10
ไม้ล้มลุก / ขิงแดง7-34190-001-276
22 มิถุนายน 2013, 13:03:04 หลังเที่ยง
ขิงแดง รหัส  7-34190-001-276
ชื่อวิทยาศาสตร์  : Alpinia purpurata (Vieill.) Schum.
ชื่อวงศ์            : ZINGIBERACEAE     
ชื่อสามัญ         : Red ginger

ลักษณะทั่วไป (Characteristic) :    ไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นสีเขียวผอมเรียว แตกกอ เป็นพุ่มแน่น

ใบ (Foliage) :  ใบเดี่ยว เรียงสลับระนาบเดียว ใบรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน กว้าง 10-15 เซนติเมตร  ยาว 70-80 เซนติเมตร  ปลายใบแหลม  โคนใบสอบขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ผิวใบด้านบนเกลี้ยง สีเขียวเป็นมัน เส้นใบขนานกัน

ดอก (Flower)
:   สีขาว  ออกเป็นช่อแบบช่อแยกเเขนงที่ปลายกิ่ง ช่อตั้ง ยาว 10-30 เซนติเมตร  กาบรองดอกสีแดงเป็นมัน ซ้อนเกยกันขึ้นไปปลายช่อดอก ดอกรูปกรวย ออกจากซอกกาบรองดอก

ผล (Fruit)
: ผลแห้งแตก รูปทรงกลมถึงรูปไข่

การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used)
: ดอกสวย ปลูกมุมอาคาร บังกำแพง ริมลำธาร น้ำตก ปลูกริมถนน ทางเดิน สระว่ายน้ำ ริมทะเล ทนน้ำท่วมขัง