• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

พืชพรรณต่างๆ มีภาพประกอบ และจัดเป็นหมวดหมู่ตามลักษณะวิสัย ค้นหาได้ง่าย

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - พรชนก เกษตรเอี่ยม

#1
ไม้พุ่ม / กรรณิการ์7-34190-001-195
22 มิถุนายน 2013, 10:41:17 ก่อนเที่ยง
กรรณิการ์
•   ชื่อวิทยาศาสตร์: Nyctanthes arbortristis Linn.
•   ชื่อสามัญ: กรรณิการ์ (อังกฤษ: Night blooming jasmin - มะลิบานราตรี)
•   ชื่อพื้นเมืองอื่น ๆ:
•   ประเภท: ไม้พุ่มยืนต้นขนาดกลาง
•   ลักษณะ:
ต้น: สูงประมาณ 3 - 4 เมตร ตามลำต้นจะมีรอยเป็นเส้นคาดรอยต้นเป็นช่วงๆ ไปตามข้อต้น เปลือกของลำต้นนั้นมีสีขาว ลักษณะของลำต้นและกิ่งก้านโดยเฉพาะส่วนที่เป็นแขนงและกิ่งอ่อนจะเป็นสี่เหลี่ยม บริเวณแนวสันเหลี่ยมของกิ่งหรือลำต้นมีตุ่มเล็ก ๆ ประเป็นแนวอยู่ด้วย
ใบ: เป็นไม้ใบเดี่ยวแต่ออกเป็นคู่ๆ สลับกันไปตามข้อของต้น มีรูปมนรี ปลายใบแหลม มีสีเขียวและมีขนอ่อนๆ เป็นละอองปกคลุมอยู่ทั่วใบ มีลักษณะสากคายมือ
ดอก: ดอกสีขาว ออกเป็นช่อดอกเล็ก ๆ กระจายที่ปลายกิ่ง ประมาณช่อละ 5 - 8 ดอก ดอกมี 6 กลีบ กลีบดอกจะบิดเวียนไปทางขวาคล้ายกังหัน วงในดอกเป็นสีแสด หลอดดอกเป็นสีแสด เกสรเป็นเส้นเล็กละเอียดซ้อนอยู่ในหลอดดอก ขนาดของดอกบานเต็มที่ประมาณ 1.50 - 2 เซนติเมตร หลอดดอกยาว 1.50 เซนติเมตร ปลายแยกเป็น 5 - 8 แฉก ก้านช่อดอกมีใบประดับเล็กๆ 1 คู่ ดอกของกรรณิการ์มีกลิ่นหอมแรง บานกลางคืน ออกดอกตลอดปี
ผล: เป็นแผ่นแบนๆ ภายในมีเมล็ด 2 เมล็ด
ประโยชน์: ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้หลายชนิด ก้านดอกสามารถนำมาทำเป็นสีย้อมผ้าจีวรพระ หรือสีทำขนม




#2
ไม้ต้น / กระทิง7-34190-001-194
22 มิถุนายน 2013, 10:36:32 ก่อนเที่ยง
กระทิง   
ชื่อวิทยาศาสตร์:Calphyllum inophyllum L.
ชื่อวงศ์ CLUSIACEAE
ชื่อสามัญ(Common Name ):Alexandrian Laurel, Indian Laurel
ชื่ออื่นๆ ( Other Name ):กากะทิง(ภาคกลาง) ทิง(กระบี่) เนาวกาน(น่าน) สารภีทะเล(ประจวบคีรีขันธ์)
ลักษณะทั่วไป
        ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 6-20 เมตร เรือนยอดแผ่กว้างเป็นพุ่มกลมแน่นทึบ ลำต้นมักคดงอ
เปลือกสีน้ำตาลปนเทาค่อนข้างเรียบ ทุกส่วนมียางสีเหลืองอมเขียว
   ใบ   เป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปรีแกมรูปไข่กลับ กว้าง 4-6 เซนติเมตร ปลายใบกลมหรือเว้าเล็กน้อย
โคนใบสอบ ใบหนาแข็ง เส้นใบถี่และขนานกัน (ใบคล้ายสารภี แต่ใหญ่กว่า ใบเป็นมัน และเส้นใบขนานกัน
เห็นชัดกว่า)
   จุดเด่นของดอก        ช่อดอกสีขาว ออกที่ปลายกิ่งและซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อหนึ่งมี 6-10 ดอก
ก้านดอกสีขาวยาว 2-2.5 เซนติเมตร มีกลีบดอก 5-6 กลีบ รูปไข่ปลายแหลม กลีบดอกงองุ้มโค้งเข้าหากัน
มีเกสรเพศผู้สีเหลืองเข้มจำนวนมาก ช่วยเน้นให้ดอกมีสีเด่นชัดเจน ดอกบานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร
เมื่อใกล้โรยเกสรเพศผู้จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ดอกบานไม่พร้อมกัน ดอกตูมมักอยู่ที่ปลายช่อดอก เมื่อบานเต็ม
ที่กลีบดอกจะบานแผ่โค้งออก มีกลิ่นหอมออกดอกตลอดปี
   ผล   เป็นรูปกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร ผลอ่อนสีเขียวและเมื่อแก่สีน้ำตาล แห้ง ผิวย่น แต่ละผลมี1 เมล็ด
การขยายพันธุ์และปลูกเลี้ยง
    ขยายพันธุ์โดยเพาะเมล็ด จะได้ต้นกล้าที่มีความแข็งแรงและเจริญเติบโตได้ดี เป็นไม้ที่ทนต่อไอน้ำเค็ม
และลมทะเล จึงนิยมปลูกตามบ้านพักริมทะเล
การใช้ประโยชน์
      ปลูกเป็นไม้ประดับโชว์ทรงพุ่ม ไม้ให้ร่มเงาตามริมถนนและในแปลงกลางแจ้งทั่วไปมีดอกหอม



#3
ไม้ต้น / หม่อนบุรีรัมย์ รหัส7-34190-001-193
22 มิถุนายน 2013, 10:32:48 ก่อนเที่ยง
หม่อนบุรีรัมย์ 60 (บร. 60)
เป็นหม่อนที่ให้ดอกตัวเมีย ลำต้นตั้ง ตรง หลังจากมีการตัดแต่งแล้วสามารถ
แตกกิ่งได้เร็ว กิ่งมีสีน้ำตาล ใบไม่แฉก ผิวใบเรียบ ใบใหญ่หนา อ่อนนุ่ม ให้ผลผลิตดี ในสภาพที่มีน้ำ เป็นหม่อนพันธุ์ลูกผสม ให้ผลผลิตประมาณ 4,300 กิโลกรัม/ไร่/ปี ขยายพันธุ์โดยการปักชำ

หม่อน (Mulberry: Morus alba Linn.)
ชื่อสามัญ White mulberry; Mullberry tree;
วงศ์ : MORACEAE
ลักษณะของต้นหม่อน
              หม่อนเป็นพืชยืนต้นประเภทไม้พุ่ม  เนื้ออ่อน   เจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อน  และเขตอบอุ่น  ปลายใบแหลม  ขอบใบอาจหยักเว้ามากคล้ายใบมะละกอ   หรือหยักน้อยคล้ายใบโพธิ์   บางชนิดมีขนเล็กใต้ใบ   ลำต้นมีลักษณะกลม  ผิวลำต้นเรียบ  ไม่มีหนาม  มียางสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม   บางพันธุ์ติดผลดกและโต  รับประ-ทานได้คล้ายผลสตรอว์เบอร์รี    ซึ่งพันธุ์ที่กล่าวนี้มักไม่นิยมใช้ใบเลี้ยงไหม  เพราะใบแข็งกระด้าง ไหมไม่ชอบกิน   ต้นหม่อนที่ได้รับการบำรุงรักษาโดยถูกต้องอาจมีอายุยืนให้ปริมาณใบมากถึง  ๒๕ ปี   ในสมัยโบราณหม่อนเป็นพืชที่ขึ้นได้เองตามธรรม-ชาติ  แต่เมื่อเลี้ยงไหมกันมากขึ้นต้องนำมาปลูกเพื่อให้ได้ใบมากพอแก่ความต้องการ
ส่วนที่ใช้และ้สรรพคุณ
ใบ, : ฝาดขมเล็กน้อย ต้มดื่มต่างน้ำชา แก้ไข้ตัวร้อน กระหายน้ำ แก้ไอ เจ็บคอ ระงับประสาท ต้มเอาน้ำล้าตาแก้ตาแดง ตาแฉะ ตาฝ้าฟาง ลดน้ำตาลในเลือด บำรุงผิว แก้อาการปวดศรีษะ ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต
#4
ไม้ต้น / เพกา รหัส7-34190-001-192
22 มิถุนายน 2013, 10:18:43 ก่อนเที่ยง
เพกา
ชื่อท้องถิ่นดอก๊ะ ด๊อกก๊ะ ดุแก (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) เบโด (มาเลเซีย-นราธิวาส) มิลิดไม้ มะลิ้นไม้ (เหนือ) ลิ้นฟ้า (เลย)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Oroxylum indicum(L.) Kurz
วงศ์ BIGNONIACEAE
ชื่อสามัญ   
ลักษณะเป็นไม้ยืนต้น สูง 3-12 เมตร แตกกิ่งก้านน้อย เปลือก เรียบสีเทาบางทีแตกเป็นรอยตื้นๆ เล็กน้อย ใบ ประกอบแบบขนนกสามชั้น ขนาดใหญ่เรียงตรงข้ามรวมกันอยู่บริเวณปลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่หรือรูปไข่แกมวงรี กว้าง 4-8 ซม. ยาว 6-12 ซม. ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอดก้านช่อดอกยาว ดอกย่อยขนาดใหญ่กลีบดอกสีนวลแกมเขียว โคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดง หนาย่น บานกลางคืน ผล เป็นฝัก รูปดาบ เมื่อแก่จะแตก ภายในเมล็ดแบนสีขาว มีปีกบางโปร่งแสง
ส่วนที่ใช้เป็นยาเมล็ดแห้ง ราก ฝักอ่อน เปลือกต้นเพกา
สรรพคุณทางยา
และวิธีใช้แก้ท้องร่วง : ใช้ราก เพกา ต้มกับน้ำ 3-4 แก้ว ต้มให้เหลือ 2 แก้ว ใช้ดื่ม
    แก้ไอ ขับเสมหะ : ใช้เมล็ดแห้ง 1/2-3 กำมือ หนัก 1.5-3 กรัม ต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว ใช้ไฟอ่อน ๆ เคี่ยวนาน 1 ชั่วโมง ดื่มแต่น้ำครั้งละ 1/3 แก้ว วันละ 3 ครั้ง
    แก้แผลน้ำร้อนลวก : ใช้เปลือกเพกาฝนกับน้ำปูนใส ทาบริเวณที่โดนน้ำร้อนลวกเป็นประจำ
    แก้ฝี ผดผื่นคัน : ใช้เปลือกสด ๆ ฝนกับน้ำปูนใสทาบริเวณที่เป็น หรือ ใช้เปลือกสดมาตำผสมเหล้าขาว พ่นบริเวณที่เป็น
เปลือกต้น รสฝาด เย็น และขมเล็กน้อย สรรพคุณฝาดสมาน รักษาน้ำเหลืองให้ปกติ ดับพิษโลหิต ขับลมในลำไส้ แก้ท้องร่วง แก้บิด ขับเสมหะ บำรุงโลหิต
รากเพกา สรรพคุณบำรุงธาตุ กระตุ้นน้ำย่อย แก้ท้องร่วง แก้อักเสบฟกบวม
ฝักอ่อน สรรพคุณขับผายลม
เมล็ดแก่ สรรพคุณช่วยระบาย
#5
ไม้ล้มลุก / กระชายแดง7-34190-001-191
22 มิถุนายน 2013, 09:51:00 ก่อนเที่ยง
กระชายแดง
ชื่ออื่น ขิงแคลง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Boesenbergia Sp.
วงศ์  ZINGIBERACEAE
ประเภทไม้   ไม้ล้มลุก (เหง้า-หัว)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น ไม้ล้มลุกอายุหลายปีมีเหง้าอยู่ใต้ดิน รากสะสมอาหารลักษณะเป็นแท่งกลมเรียวยาว พองตรงกลางฉ่ำน้ำ สีน้ำตาลอ่อนมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่รุนแรงเหมือนกระชายในฤดูฝน จะแตกยอดขึ้นเหนือพื้นดินและอาจเกิดได้ตลอดปีหากดินมีความชื้น มีกาบใบซ้อนกันหลายชั้นสีน้ำตาลแดง ความสูงของทรงพุ่มประมาณ 30-40 ซม.
ใบ ใบเดียวเรียงสลับ รูปไข่ค่อนข้างยาว ขอบใบขนาน กว้าง 4-8 ซม. ยาว 15-30 ซม. เส้นกลางใบเป็นช่องลึก แผ่นใบเรียบสีเขียวเป็นมัน
ดอก เป็นดอกช่อออกแทรกอยู่ระหว่างกาบใบโคนต้น กลีบดอกสีชมพูอ่อนดอกย่อยทยอยบานที่ละดอก ผลแก่มี 3 พู มีเมล็ดอยู่ภายใน
การปรุงอาหาร หน่ออ่อน ใช้ปรุงรสน้ำยาขนมจีน และบริโภคเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริก
ส่วนที่ใช้เป็นอาหารและยาในประเทศไทยคือเหง้าใต้ดินและราก  ในประเทศจีนมีรายงานการใช้กระชายเป็นยา  ในประเทศเวียดนามใช้กระชายในการปรุงอาหาร  ในประเทศไทยมีพืชที่เรียกว่ากระชายอยู่ 3 ชนิด คือกระชาย (เหลือง) กระชายแดง และกระชายดำ   ภูมิปัญญาไทยใช้รากกระชายบำบัดอาการอีดี โดยกินทั้งราก เนื่องจากในรากกระชายมีสารที่ออกฤทธิ์คลายการหดตัวของผนังหลอดเลือดในกลุ่มยารักษาอีดี กลุ่มที่ 3 จึงเห็นว่าเป็นการใช้งานที่ไม่ขัดกับข้อมูลจากวงการแพทย์ และเนื่องจากกระชายเป็นพืชอาหารของไทย ไม่พบรายงานความเป็นพิษเมื่อบริโภคในระดับที่เป็นอาหาร (พร้อมจิต  ศรลัมและคนอื่นๆ,2532)