• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

พืชพรรณต่างๆ มีภาพประกอบ และจัดเป็นหมวดหมู่ตามลักษณะวิสัย ค้นหาได้ง่าย

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - สมพร โพธิ์ดี

#1
ไม้ต้น / สนบูล รหัส 1-34190-001-520
22 มิถุนายน 2013, 10:55:19 ก่อนเที่ยง
สนบลู
ชื่อสามัญ Lawson's Cypress
ชื่อวิทยาศาสตร์ Chamaecyparis lawsoniana(Murray)Parl.
ชื่อพรรณไม้ สนบลู
ชื่อวิทยาศาสตร์ Chamaecyparis lawsoniana (Murray)  Parl.
ชื่อวงศ์ CUPRESSACEAE
ลักษณะวิสัย ไม้ต้น ลักษณะเด่นของพืช มีใบเป็นแผง ยอดมีสีฟ้า
#2
ไม้เลื้อย / ถั่วพร้าเมล็ดแดง รหัส 7-34190-001-519
22 มิถุนายน 2013, 10:52:01 ก่อนเที่ยง
ถั่วพร้า
ชื่อสามัญ : Jack Bean
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Canavalia ensiformis
วงศ์ Fabaceae
1.ถั่วพร้าเมล็ดขาว (jack bean) ชื่อวิทยาศาสตร์ Canavalia ensiformis (L.) DC.                                                                           
2.ถั่วพร้าเมล็ดแดง (sword bean )ชื่อวิทยาศาสตร์ Canavalia gladiata (Jacq.) DC.
ลักษณะ ลำต้นของถั่วพร้าเป็นเถา ซึ่งสามารถเลื้อยสูงได้ถึง 10 เมตร อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของกรมวิชาการเกษตรพบว่า สามารถปลูกในลักษณะไม้พุ่มได้ เพราะลำต้นมีเนื้อไม้แข็งเป็นแกน โดยจะมีความสูงประมาณ 60 – 120 เซนติเมตร ลักษณะของใบเป็นใบรวมแบบสามใบ (trifoliolate) มีรูปร่างมนค่อนข้างกลมคล้ายไข่ ยาว 7 – 12 เซนติเมตร ดอกเป็นกลุ่ม มีสีชมพู แต่ถั่วพร้าเมล็ดแดงจะมีความแตกต่างคือ ปลายดอกจะมีสีแดง ทั้งสองชนิดมีกลีบเลี้ยงโค้ง ส่วนบนมีสีขาว ภายในดอกมีเกสรครบทั้งสองเพศ และส่วนใหญ่ (ประมาณร้อยละ 80 ของการติดผล) จะผสมพันธุ์กันเองภายในดอก

ลักษณะ ของฝักจะมีรูปร่างคล้ายดาบ ห้อยปลายลง เมื่อสุกจะมีสีเหลืองคล้ายฟางข้าว ถั่วพร้าเมล็ดยาวจะมีขนาดฝักกว้าง 3 – 3.5 เซนติเมตร ยาว 15 – 35 เซนติเมตร เมล็ดมีสีขาวคล้ายงาช้าง มีขนาด 1.5 – 2 เซนติเมตร ขั้วเมล็ด (hilum) ยาว 0.5 – 1 เซนติเมตร ในขณะที่ถั่วพร้าเมล็ดแดงจะมีขนาดฝักกว้างประมาณ 3.5 – 5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 20 – 40 เซนติเมตร เมล็ดมีสีแดงอมน้ำตาล มีขนาด 2 – 3.5 เซนติเมตร ขั้วเมล็ดยาว 1.5 – 2 เซนติเมตร

วิธีการเพาะปลูกที่ใช้ปฏิบัติกันอยู่มี 3 วิธี คือ

ปลูกแบบหว่าน  – เป็นวิธีที่สะดวก ประหยัดเวลาและแรงงานที่สุด ทำโดยการนำเอาเมล็ดพันธุ์ที่เตรียมไว้หว่านลงไปในแปลงให้ทั่ว ในอัตรา 8 - 10 กิโลกรัมต่อไร่ แล้วพรวนดินกลบเมล็ด
ปลูกแบบโรยเป็นแถว  – เป็นวิธีที่ค่อนข้างช้าและสิ้นเปลืองแรงงานเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีแรก แต่จะทำให้ได้ต้นถั่วพร้าที่ขึ้นเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ ทำโดยใช้เมล็ดโรยลงในแถว ซึ่งมีระยะระหว่างแถว 75 - 100 เซนติเมตร เมื่อโรยเมล็ดลงในแถวแล้วกลบเมล็ดด้วยดินบาง ๆ ในอัตรา 5 - 8 กิโลกรัมต่อไร่

ปลูกแบบหยอดเป็นหลุม – เป็นวิธีที่ล่าช้า สิ้นเปลืองแรงาน และไม่สะดวกในทางปฏิบัติที่สุด แต่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในกรณีที่มีปริมาณเมล็ดพันธุ์จำกัด ทำโดยการขุดหลุดเล็ก ๆ ลึกประมาณ 5 – 7.5 เซนติเมตร มีในระยะระหว่างแถวของหลุมประมาณ 75 – 90 เซนติเมตร และระยะระหว่างหลุมในแถวเดียวกันประมาณ 45 – 60 เซนติเมตร หยอดเมล็ด 2 - 3 เมล็ดต่อหลุมแล้วกลบเมล็ดด้วยดินบาง ๆ ในอัตรา 3 - 5 กิโลกรัมต่อไร่

การเก็บเกี่ยวฝัก อ่อนเพื่อนำไปใช้เป็นอาหารจะทำได้หลังจากการเพาะปลูกราว 3 - 4 เดือน สำหรับการเก็บเกี่ยวเมล็ดที่โตเต็มที่เพื่อนำไปทำเป็นเมล็ดแห้ง จะทำได้หลังจากการเพาะปลูกราว 5 – 10 เดือน

ถั่วพร้า  ชื่อท้องถิ่น  ถั่วยักษ์  ถั่วฝักพร้า  ถั่วดาบ  ถั่วอีโต้...

ถั่ว พร้าจัดเป็นพืชในสกุล Canavalia  วงศ์ Fabaceae ในประเทศไทยรู้จักกันดีมีอยู่ด้วยกันสองชนิด คือ ถั่วพร้าเมล็ดยาว และถั่วพร้าเมล็ดแดง
เป็นไม้เถาล้มลุก  เลื้อยสูงแต่ตัดแต่งเป็นพุ่มได้ ลักษณะใบเป็นใบรวมแบบสามใบ ใบมน ดอกเป็นกลุ่ม มีสีชมพู หรือแดงตามพันธุ์ ลักษณะยาวคล้ายดาบ
ส่วนเมล็ดสีตามพันธุ์แดง หรือขาว                                               
1.ถั่ว พร้าเมล็ดขาว (jack bean) ชื่อวิทยาศาสตร์ Canavalia ensiformis (L.) DC.                                                                           
2.ถั่วพร้าเมล็ดแดง (sword bean )ชื่อวิทยาศาสตร์ Canavalia gladiata (Jacq.) DC.         
#3
ไม้พุ่ม / ไทรไข่มุก รหัส 7-34190-001-518
22 มิถุนายน 2013, 10:35:50 ก่อนเที่ยง
มะจอเต๊ะ หรือชื่อไทยอย่างไม่เป็นทางการคือ ไทรไข่มุก หรือ สาริกาลิ้นทอง เป็นไม้ทรงพุ่มขนาดเล็ก อยู่ในวงศ์ไทร (บ้างเรียกวงศ์ไม้ขนุน) ชื่อมะจอเต๊ะ เป็นภาษายาวี ทั้งนี้เนื่องจากยังไม่มีการกำหนดชื่ออย่างเป็นทางการในภาษาไทย
ลักษณะ
มะจอเต๊ะ เป็นไม้พื้นเมืองที่พบอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย แถบจังหวัดนราธิวาส จึงทำให้ชื่อเป็นในภาษายาวี ลักษณะเป็นไม้พุ่มอิงอาศัยเกาะตามต้นไม้ใหญ่ ลำต้น กิ่งและใบ มีน้ำยางสีขาวขุ่น ผลแบบมะเดื่อออกตามซอกใบ ในประเทศไทยมีอยู่ 2 พันธุ์ คือพันธุ์ใบแคบ ที่ใบรูปขอบไข่กลับ ขนาดใบ กว้าง 2 – 2.5 เซนติเมตร ยาว 4 – 5 เซนติเมตร กับพันธุ์ใบกว้าง ใบรูปไข่กลับกว้างๆ จนเกือบกลม ขนาดใบ กว้าง 4 – 7 เซนติเมตร ยาว 5 – 9 เซนติเมตร ทั้งสองพันธุ์ สามารถพบได้ในป่าในแถบจังหวัดนราธิวาส
สาลิกาลิ้นทอง
ชื่อวิทยาศาสตร์ :Ficus deltoidea  Jack
วงศ์ : MORACEAE
ชื่ออื่นๆ : ไทรไข่มุก  ไทรใบโพธิ์หัวกลับ  มะจอเต๊ะ (ภาษายาวี)
ลักษณะ ทั่วไป : เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก อยู่ในตระกูลไทร  มีทั้งแบบใบยาวเรียว(ตัวผู้) ขนาดใบ กว้าง 2 – 2.5 เซนติเมตร ยาว 4 – 5 เซนติเมตร  ใบกลมมนหนา (ตัวเมีย) ขนาดใบ กว้าง 4 – 7 เซนติเมตร ยาว 5 – 9 เซนติเมตร เห็นเส้นใบชัดเจน  เป็นไม้พื้นเมืองที่พบอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย แถบจังหวัดนราธิวาส ลำต้น กิ่งและใบ มีน้ำยางสีขาวขุ่น ออกผลตามซอกใบ  ผลอ่อนสีขาวปนเขียวอ่อนปลายผลเป็นจุกสีชมพูแดงเมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีชมพู ทั้งผล ออกผลตลอดปี
#4
ไม้ต้น / จำปีสิรินธร รหัส 7-34190-001-517
22 มิถุนายน 2013, 10:28:42 ก่อนเที่ยง
ต้น  ไม้ต้นขนาดกลาง ถึงขนาดใหญ่ สูง 20-30 เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้นที่ระดับอก 50-200 เซนติเมตร  เปลือกโคนต้นสีน้ำตาล หนา 0.5 - 1 เซนติเมตร มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว เปลือกแตกเป็นร่องลึกตามยาว ลำต้นเปลาตรง กิ่งที่อยู่ในระดับสูงมีเปลือกสีขาว กิ่งอ่อนมีสีเขียวอมน้ำตาล มีช่องอากาศเป็นจุดหรือขีดนูนกระจาย ทรงพุ่มกลมโปร่ง เนื้อไม่และกิ่งเหนียว
ใบ    รูปรี กว้าง 7-10 เซนติเมตร ยาว 14-20  เซนติเมตร โคนใบมนกลม หรือรูปลิ่ม ปลายใบมนทู่ถึงแหลม ผิวใบด้านบนมีขนเล็กน้อย สีเขียวอมเหลือง มีเส้นกลางใบนูนเล็กน้อย และมีเส้นแขนงใบเป็นร่อง ผิวใบด้านล่างสีอ่อนกว่าและมีขน มีเส้นเส้นกลางใบและเส้นแขนงใบนูนเด่น เนื้อใบหนา แข็งกรอบ ขอบใบเรียบ เส้นแขนงใบมี 10-12 คู่ ก้านใบยาว 2.5-4.5 เซนติเมตร รอยแแผลเป็นของหูใบแนบโคนก้านใบยาวสองในสาม ของความยาวของก้านใบ
ดอก  ออกเดี่ยวที่ซอกใบใกล้ปลายยอด ดอกตูมรูปกระสวย มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 2.5-3.5 เซนติเมตร กาบหุ้มดอกมี 1 แผ่น สีเขียวอ่อนและมีขนอ่อนๆ คลุมอยู่ กาบฉีกออกและหลุดไปเมื่อกลีบดอกเริ่มแย้ม ก้านดอกยาว 1.8 เซนติเมตร ดอกบานตั้งขึ้น สีขาวนวล กลีบดอกมี 12-15 กลีบ เรียงเป็นชั้นๆ ละ 3 กลีบ กลีบชั้นนอกรูปหอกแกมขอบขนาน กว้าง 1.2-1.5 เซนติเมตร ยาว 4.5-5 เซนติเมตร ปลายกลีบมนกลม เมื่อเริ่มแย้มโคนกลีบดอกด้านนอกมีสีเขียวอ่อน  กลีบดอกชั้นในมีขนาดแคบและสั้นกว่าเล็กน้อย เริ่มแย้มและส่งกลิ่นหอมตั้งแต่พลบค่ำ ดอกบานอยู่ได้ 2 วัน เมื่อใกล้โรยเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเล็กน้อย ผล   ผลเป็นช่อยาว 4-6 เซนติเมตร ก้านช่อผลยาว 4 เซนติเมตร มีผลย่อย 15-25 ผล แต่ละผลเรียงติดอยู่บนแกนกลางผลและไม่มีก้านผลย่อย ผลรูปกลมมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-1.5 เซนติเมตร ผิวของผลมีช่องอากาศเป็นจุดๆ สีขาว ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่แล้ว
เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน  ผลย่อยแตกตามแนวยาว แต่ละผลมี 1-6 เมล็ด เมล็ดสีแดงเข้มรูปกลมรี ยาว 4-6 มิลลิเมตร
ช่วงการออกดอกและติดผล   ออกดอกบาน ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึง กรกฎาคม ผลแก่ระหว่างเดือนตุลาคม ถึงเดือนพฤศจิกายน
นิเวศวิทยาและถิ่นกำเนิด   จำปีสิรินธรเป็นพืชเฉพาะถิ่นของไทย (Endemic to Thailand) คือมีขึ้นอยู่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น และมีขึ้นอยู่เฉพาะพื้นที่ชุ่มน้ำหรือในป่าพรุน้ำจืดที่มีน้ำพุไหลผ่านตลอดเวลา สำรวจพบครั้งแรกในป่าพรุน้ำจืดของบ้านซับจำปา ตำตลซับจำปา อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี  ในพื้นที่รวมกันประมาณ 80 ไร่ ในระดับความสูงประมาณ 50 เมตร พื้นที่โดยรอบห่างออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นเขาหินปูน เมื่อมีฝนตกแล้วน้ำจากเขาหินปูนนี้จะซึมลงใต้ดินและไหลรวมเป็นน้ำใต้ดิน มาพุขึ้นในป่าบ้านซับจำปา น้ำในบริเวณนี้จึงมีความเป็นด่างสูงกว่าในพื้นที่อื่น
        ต่อมาสำรวจพบในป่าพรุน้ำจืดของบ้านน้ำสวย ตำบลน้ำสวย อำเภอเมือง จังหวัดเลย ซึ่งมีพื้นที่รวมกันประมาณ 30 ไร่ ในระดับความสูงประมาณ 165 เมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่สูง 30 เมตร และเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 เมตร อยู่มากกว่า 30 ต้น
#5
ไม้ต้น / บักเม่า รหัส 7-34190-001-516
22 มิถุนายน 2013, 10:15:24 ก่อนเที่ยง
บักเม่า

รายละเอียด
หมากเม่า (มะเม่า เม่าเสี้ยน มัดเซ) เป็นผลไม้ชั้นนำในเขตภาคอีสาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร ส่วนภาคอื่นๆ เรียกว่า "เม่า" ชื่อวิทยาศาสตร์ Antidesma velutinosum Blume ในวงศ์ Stilaginaceae. เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ความสูงประมาณ 12-15 เมตร ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม และผลจะสุกในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน

คุณค่าทางโภชนาการ ชองผลหมากเม่า (ต่อ 100 กรัม)

พลังงาน 75.20 กิโลแคลลอรี่
โปรตีน 0.63 กรัม
เยื่อใย 0.79 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 17.96 กรัม
แคลเซียม 13.30 มิลลิกรัม
เหล็ก 1.44 มิลลิกรัม
วิตามิน ซี 8.97 กรัม
วิตามิน บี1 4.50 ไมโครกรัม
วิตามิน บี 2 0.03 ไมโครกรัม
วิตามิน อี 0.38 ไมโครกรัม



ประโยชน์ "หมากเม่า"
1. ผลดิบสีเขียวอ่อน ประกอบอาหารคล้ายส้มตำเม่า
2. ผลแก่สีแดงมีรสเปรี้ยว ส่วนผลแก่จัดสีดำม่วง จะมีรสหวานอมเปรี้ยว รับประทานเป็นผลไม้สด
3. ผลมีสรรพคุณเป็นยาระบายและบำรุงสายตา ใบสดนำมาอังไฟเพื่อใช้ประคบแก้อาการฟกช้ำดำเขียว เปลือกต้นเม่าใช้เป็นส่วนประกอบของลูกประคบ
4. ผลหมากเม่าสุก มีกรดอะมิโน 18 ชนิด แคลเซียม เหล็ก สังกะสี วิตามิน B1 B2 C และ E
5. ผลิตภัณฑ์แปรรูปเช่น น้ำผลไม้ ไวน์เม่า แยม กวน สีธรรมชาติผสมอาหาร ฯลฯ
6. น้ำเม่าสกัดเข้มข้น 100% มีสารอาหาร วิตามินหลายชนิด ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายรวมทั้ง มีสารต้านอนุมูลอิสระ
7.ไวน์หมากเม่า มีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง
8.กัมมาลและคณะ (2546) ศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV เชื้อรา เชื้อแบคทีเรียของสมุนไพรไทย 5 ชนิด คือ มะเม่า ฟ้าทลายโจร หญ้าแห้วหมู ผักเป็ดแดง และสายน้ำผึ้ง พบว่า มะเม่า สายน้ำผึ้ง และหญ้าแห้วหมู มีศักยภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและมีฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV ได้