• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

พืชพรรณต่างๆ มีภาพประกอบ และจัดเป็นหมวดหมู่ตามลักษณะวิสัย ค้นหาได้ง่าย

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - จักรพรรดิ์ วงพิมล

#1
ไม้ล้มลุก / เฮลิโคเนีย รหัส 7-34190-001-494
22 มิถุนายน 2013, 10:23:38 ก่อนเที่ยง
เฮลิโคเนีย รหัส 7-34190-001-494
       เฮลิโคเนีย (อังกฤษ: Heliconia; ชื่อวิทยาศาสตร์: Heliconia spp.) เป็นสกุลพันธุ์ไม้ที่มีหลายสายพันธ์มีชื่อภาษาไทยต่างๆกัน เช่น ธรรมรักษา ก้ามกุ้ง ก้ามกั้ง สร้อยกัทลี เป็นไม้เขตร้อน ที่นิยมใช้เป็นไม้ตัดดอก ไม้กระถาง และตกแต่งสถานที่ ทั้งในและต่างประเทศมีมากมายหลายพันธุ์ เป็นไม้อวบน้ำยืนต้น มีลำต้นใต้ดิน เรียกว่าเหง้า ส่วนของลำต้นเหนือดินเรียกว่า "ต้นเทียม" (pseudostem) ประกอบด้วยส่วนของลำต้น (stem) และใบเมื่อเจริญเต็มที่ มักมีช่อดอก (infloescemce) แทงออกที่ส่วนกลางของต้นเทียม ลำต้นประกอบด้วยกาบใบ (leaf sheath) วางซ้อนสลับไปมา
เฮลิโคเนียมีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาและหมู่เกาะคาริเบียน โดยชื่อ เฮลิโคเนียนำมาจากชื่อ เฮลิคอน ที่เป็นภูเขาสถิตของเทพธิดา 9 พระองค์ที่เรียกว่า มิวส์ (Muses) ซึ่งมีความงามเป็นอมตะเช่นเดียวกับ เฮลิโคเนียที่มีอายุยืนยาว [1]
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
การเรียงตัวของใบ จะเรียงสลับตรงกันข้ามในระนาบเดียวกัน มีทั้งใบที่คล้ายกล้วย คือมีก้านใบยาว และอยู่ในแนวตั้ง, ใบที่คล้ายขิง คือ มีก้านใบสั้น และใบอยู่ในแนวนอน และใบที่คล้ายพุทธรักษา คือมีก้านใบสั้น หรือยาวไม่มากนัก และใบทุกมุมป้านกับลำต้น
ดอกเฮลิโคเนียจะออกเป็นช่อ สะดุดตา และมีสีสันสวยงาม ช่อดอกมักแทงออกกลางลำต้นเทียม และเป็นส่วนสุดท้ายของการเจริญ. ช่อดอกอาจตั้ง (upright) หรือห้อย (pendent) แล้วแต่ชนิด ส่วนของช่อดอกจะประกอบด้วย ก้านช่อดอก (peduncle) เป็นส่วนต่อระหว่างโคนใบสุดท้ายกับโคนกลีบประดับกลีบแรก กลีบประดับ (inflorescence bract , cincinal bract) เป็นส่วนที่พัฒนามาจากใบ ก้านต่อระหว่างกลีบประดับ (rachis) ส่วนนี้อาจมีสี และผิวแตกต่างจากกลีบประดับ และอาจตรงหรือคดไปมาได้ (zigzag) แล้วแตชนิด
ผลมีลักษณะคล้ายผลท้อ (drupe) มีเนื้อนุ่ม และมีชั้นหุ้มเมล็ดที่แข็ง. ผลสุกจะมีสีน้ำเงิน ถ้าเป็นชนิดที่พบในทวีปอเมริกา และสีส้มในชนิดที่พบในหมู่เกาะแปซิฟิก
การปลูกเลี้ยง
เฮลิโคเนีย สามารถเจริญเติบโตได้ทั้งในที่ร่มรำไรถึงกลางแจ้ง และเจริญเติบโตได้ดีในที่ลุ่มและชื้นแฉะ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด, แยกกอ หรือเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
ประโยชน์
ใช้ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับสวยงาม และเป็นศิริมงคล เพราะชื่อของต้นไม้ชนิดนี้ ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ธรรมรักษา" นั้น มีความหมายไปในทางที่ดี นั่นคือ ธรรมรักษาหรือธรรมะนั้น คือการรักษาในสิ่งที่ดีงาม หรือ ผู้ที่มีคุณธรรมซึ่งควรแก่การเคารพบูชา ดังนั้นจึงหมายถึง การช่วยคุ้มครองรักษาให้แคล้วคลาด จากภัยอันตรายทั้งปวง และคนในบ้านก็จะมีคุณธรรมอันดีงามเสมอไป ดอกของต้นไม้ชนิดนี้ ชาวไทยนิยมนำมาใช้บูชาพระ เพราะเชื่อว่า เป็นดอกไม้ที่เหมาะสำหรับบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ชาวพุทธทั้งหลายนิยมบูชา คนโบราณเชื่อกันว่า หากครอบครัวใด ที่ปลูกต้นธรรมรักษาเอาไว้ในบริเวณบ้าน สมาชิกทุกคนภายในบ้าน ก็จะได้รับการปกป้องคุ้มครองแคล้วคลาดจากอันตราย คนในครอบครัวจึงมีแต่ความสงบสุข
ชื่อวิทยาศาสตร์      Heliconia spp.
ตระกูล                  HELICONIACEAE
ชื่อสามัญ              Heliconia

เฮลิโคเนีย เป็นสกุลพันธุ์ไม้ที่มีหลายสายพันธ์มีชื่อภาษาไทยต่างๆกัน เช่น ธรรมรักษา ก้ามกุ้ง ก้ามกั้ง สร้อยกัทลี เป็นไม้เขตร้อน ที่นิยมใช้เป็นไม้ตัดดอก ไม้กระถาง และตกแต่งสถานที่ ทั้งในและต่างประเทศมีมากมายหลายพันธุ์ เป็นไม้อวบน้ำยืนต้น มีลำต้นใต้ดิน เรียกว่าเหง้า ส่วนของลำต้นเหนือดินเรียกว่า "ต้นเทียม" (pseudostem) ประกอบด้วยส่วนของลำต้น (stem) และใบเมื่อเจริญเต็มที่ มักมีช่อดอก (infloescemce) แทงออกที่ส่วนกลางของต้นเทียม ลำต้นประกอบด้วยกาบใบ (leaf sheath) วางซ้อนสลับไปมา
เฮลิโคเนียมีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกา และหมู่เกาะคาริเบียน โดยชื่อ เฮลิโคเนียนำมาจากชื่อ เฮลิคอน ที่เป็นภูเขาสถิตของเทพธิดา 9 พระองค์ที่เรียกว่า มิวส์ (Muses) ซึ่งมีความงามเป็นอมตะเช่นเดียวกับ เฮลิโคเนียที่มีอายุยืนยาว 
ชนิดและพันธุ์ที่นิยมปลูกเป็นไม้มงคล

1. ชิตาคอรัม       : ( H. psittacorum)

2. แคริเบีย        : ( H. coribaea)

3.ซาร์เตซี          : ( H. chartacea)

4. เพนดูล          : ( H. pendula)


ลักษณะทั่วไป
•   ใบ: การเรียงตัวของใบ จะเรียงสลับตรงกันข้ามในระนาบเดียวกัน มีทั้งใบที่คล้ายกล้วย คือมีก้านใบยาว และอยู่ในแนวตั้ง, ใบที่คล้ายขิง คือ มีก้านใบสั้น และใบอยู่ในแนวนอน และใบที่คล้ายพุทธรักษา คือมีก้านใบสั้น หรือยาวไม่มากนัก และใบทุกมุมป้านกับลำต้น
•   ดอก: ดอกเฮลิโคเนียจะออกเป็นช่อ สะดุดตา และมีสีสันสวยงาม ช่อดอกมักแทงออกกลางลำต้นเทียม และเป็นส่วนสุดท้ายของการเจริญ. ช่อดอกอาจตั้ง (upright) หรือห้อย (pendent) แล้วแต่ชนิด ส่วนของช่อดอกจะประกอบด้วย
o   ก้านช่อดอก (peduncle) เป็นส่วนต่อระหว่างโคนใบสุดท้ายกับโคนกลีบประดับกลีบแรก
o   กลีบประดับ (inflorescence bract , cincinal bract) เป็นส่วนที่พัฒนามาจากใบ
o   ก้านต่อระหว่างกลีบประดับ (rachis) ส่วนนี้อาจมีสี และผิวแตกต่างจากกลีบประดับ และอาจตรงหรือคดไปมาได้ (zigzag) แล้วแตชนิด
•   ผล: มีลักษณะคล้ายผลท้อ (drupe) มีเนื้อนุ่ม และมีชั้นหุ้มเมล็ดที่แข็ง. ผลสุกจะมีสีน้ำเงิน ถ้าเป็นชนิดที่พบในทวีปอเมริกา และสีส้มในชนิดที่พบในหมู่เกาะแปซิฟิก
การปลูก
การปลูก วิธีที่นิยมปลูกมี 2 วิธี คือ
1). การปลูกในแปลงปลูก ทำกัน 2 แบบ
     1.1การปลูกในแปลงใหญ่หรือปลูกในสวนคือปลูกเป็นจำนวนมากใช้ขนาดแปลงกว้างประมาณ12เมตรโดยยกคันดินเป็นร่องคล้าย
          กับแปลงปลูกผัก ขนาดหลุมปลูกประมาณ 30 x 30 x30เซนติเมตรระยะปลูกประมาณ12เมตร การเตรียมดินโดยการไถพรวนดิน
         แล้วผสมปุ๋ยอินทรีย์ลงไป อัตราประมาณ 30 - 50กิโลกรัม/แปลงในขนาดแปลงปลูกประมาณ 2 x 30 เมตร
     1.2 การปลูกในแปลงปลูกขนาดเล็ก ที่มีจำนวนพื้นที่จำกัด เช่น การปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านหรือสวน ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x         30 เซนติเมตรใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก:ดินร่วนอัตรา1:1ผสมดินปลูกแต่ถ้าจะให้สวย งามควรปลูกเป็นกลุ่มเพราะจะได้เห็นความ
          สวยงามของดอกได้เด่นชัดขึ้น

2). การปลูกในกระถางเพื่อใช้ประดับอาคารบ้านเรือน นิยมใช้เป็นดอกประดับภายนอกอาคาร ควรใช้กระถางสูงขนาด 10 - 16 นิ้ว     ใช้ปุ๋ยคอก : แกลบผุ : ดินร่วน อัตรา 1 : 1 : 1 ผสมดินปลูก และควรเปลี่ยนกระถาง 12ปี/ครั้งเพราะการขยายตัวของรากแน่นเกินไป
     และเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่แทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป

การขยายพันธุ์

เฮลิโคเนียสามารถขยายพันธุ์ด้วยหลายวิธี ได้แก่ การเพาะเมล็ด การแยกกอ และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
•   การเพาะเมล็ด ทำโดยนำเมล็ดที่สุกกำจัดส่วนที่เป็นเนื้อออก นำไปแช่น้ำก่อนเพาะ และควรแช่สารเคมีป้องกันเชื้อรา เพาะในกะบะลึกเท่ากับความหนาเมล็ด โดยมีทรายและขุยมะพร้าวในอัตราส่วน 1:1 เป็นวัสดุปลูก เมล็ดเฮลิโคเนียใช้เวลางอกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 3 ปี
•   การแยกกอ โดยการแยกกออกเป็นส่วน ๆ ให้มีลำต้นเทียมติดเหง้าอยู่ 1-2 ต้น โดยมีทรายผสมขุยมะพร้าวหรือดินผสมเป็นวัสดุปลูก ชำในที่ร่มรำไร ประมาณ 4-6 สัปดาห์ รากและหน่อใหม่จะเริ่มงอก
•   การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จะได้ต้นที่ปราศจากเชื้อโรค เช่น Ralstonia solanacearum และได้หน่อจำนวนมาก ขึ้นกับชนิดเฮลิโคเนีย เมื่อเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเฮลิโคเนีย H. psittacorum L.f. 4 พันธุ์ คือ พันธุ์ Golden Torch, Orange, Andromeda และ Sassy โดยใช้ตาที่ปลายยอดและตาตามซอกกาบใบ (terminal and axillary bud) ของเหง้าบนสูตรอาหาร Murashige and Skoog (MS) ใช้เวลาเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ 4-5 เดือน มีอัตราการเพิ่มของหน่อเป็น 5 เท่าของการขยายพันธุ์โดยการแยกกอ

การดูแล
แสง                                    ต้องการแสงแดดร่ม รำไร จนถึงแดดจัด หรือกลางแจ้ง

น้ำ                                      ต้องการปริมาณน้ำปานกลางจนถึงมาก ควรให้น้ำ 3 - 5 วัน / ครั้ง

ดิน                                     ดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย

ปุ๋ย                                     ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 กิโลกรัม/กอ ใส่ปีละ 4-6 ครั้ง

โรคศัตรู                             ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและศัตรูจะพบเพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง

อาการ                                กัดดูดน้ำเลี้ยงบริเวณใบ ก้านใบและยอดอ่อนทำให้ใบเลือง เหี่ยวเฉา

การป้องกัน                         กำจัดพาหะพวกมดต่างๆ โดยใช้ยานิโคตินซัลเฟต 40 % อัตราและคำแนะนำระบุไว้ตามฉลาก

การกำจัด                            ใช้ยานิโคตินซัลเฟต 40 % หรือ ไดซีสตอน เมทาซีสทอกซ์ อัตราและคำแนะนำระบุไว้ตามฉลาก
   ถ้าแบ่งพันธุ์ของเฮลิโคเนีย ตามลักษณะของช่อดอก ก็จะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ช่อดอกตั้งขึ้น และ กลุ่มที่ช่อดอกคว่ำ หรือว่าห้อยลง
   

กลุ่มที่ช่อดอกตั้งขึ้น ได้แก่
ซิตาคอรัม (psittacorum), สตริกตา (stricta), แองกุสตา (angusta) ซึ่งเป็นเฮลิโคเนียขนาดเล็ก
บอเจียนา (bougaeana), (bihai), แคริเบีย (caribaea), แวกเนอเรียนา (wagneriana), อินดิกา (indica) เป็นเฮลิโคเนียที่นิยมนำมาจัดสวนเพื่อเพิ่มสีสัน
บางคนเรียก กลุ่มที่ช่อดอกตั้งขึ้นว่า ก้ามกุ้ง ผมไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือเปล่านะครับ

   
กลุ่มที่ช่อดอกคว่ำลง ได้แก่
รอสตราต้า (rostrata) หรือปากนกแก้ว เป็นเฮลิโคเนียขนาดกลาง ความสูง 1.5-2 ม. ช่อดอกห้อย ใบประดับมีสีแดง ตอนปลายสีเหลือง ลักษณะคล้ายปากนกแก้ว ออกดอกเป็นฤดู
ชาร์เตซี (chartacea) เป็นเฮลิโคเนียขนาดกลาง ความสูง 1.8-2 ม. ช่อดอกห้อยพันธุ์ เซ็กซีพิงค์ (Sexy Pink-สีชมพู)
เพนดูลา (pendula) เป็นเฮลิโคเนียขนาดกลาง ความสูง 1.5-2 ม. ช่อดอกห้อย พันธุ์ ไบรท์เรด (Bright Red-สีแดงสด ดอกสีขาว) ออกดอกตลอดปี
คอลลินเซียนา (collinsiana) เป็นเฮลิโคเนียขนาดใหญ่ ความสูง 3.6-4.5 ม. ใบประดับสีแดงเข้ม และมักจะมีนวลสีขาวทั่วไป ออกดอกเป็นฤดู
บางคนเรียก กลุ่มที่ช่อดอกคว่ำลงว่า ก้ามกั้ง
ประโยชน์
ใช้ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับสวยงาม และเป็นศิริมงคล เพราะชื่อของต้นไม้ชนิดนี้ ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ธรรมรักษา" นั้น มีความหมายไปในทางที่ดี นั่นคือ ธรรมรักษาหรือธรรมะนั้น คือการรักษาในสิ่งที่ดีงาม หรือ ผู้ที่มีคุณธรรมซึ่งควรแก่การเคารพบูชา ดังนั้นจึงหมายถึง การช่วยคุ้มครองรักษาให้แคล้วคลาด จากภัยอันตรายทั้งปวง และคนในบ้านก็จะมีคุณธรรมอันดีงามเสมอไป ดอกของต้นไม้ชนิดนี้ ชาวไทยนิยมนำมาใช้บูชาพระ เพราะเชื่อว่า เป็นดอกไม้ที่เหมาะสำหรับบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ชาวพุทธทั้งหลายนิยมบูชา คนโบราณเชื่อกันว่า หากครอบครัวใด ที่ปลูกต้นธรรมรักษาเอาไว้ในบริเวณบ้าน สมาชิกทุกคนภายในบ้าน ก็จะได้รับการปกป้องคุ้มครองแคล้วคลาดจากอันตราย คนในครอบครัวจึงมีแต่ความสงบสุข
#2
ไม้พุ่ม / พุดซ้อนใบด่าง รหัส 7-34190-001-495
22 มิถุนายน 2013, 10:16:47 ก่อนเที่ยง
พุดซ้อนใบด่าง รหัส 7-34190-001-495
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Gardenia augusta (L.) Merr.
ชื่อวงศ์ : Rubiaceae
ชื่อสามัญ:  Cape jasmine, Gardenia jasmine
ชื่อพื้นเมือง:  พุดจีน พุดใหญ่ อินถะหวา เค็ดถวา แคถวา ซัวอึ้งกี่ จุยเจียฮวย
ลักษณะทั่วไป:
    ต้น  พุดซ้อนเป็นไม้พุ่มสูงประมาณ 1-2เมตร แตกกิ่งแขนงมาก ลำต้นเรียวเป็นรูปกรวย ไม่ผลัดใบ ทรงพุ่มกลม  ค่อนข้างหนาทึบ เปลือกสีน้ำตาลดำ
    ใบ  ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปหอก ปลายใบและโคนใบแหลม ใบมีสีเขียวมน
    ดอก  เป็นดอกเดี่ยวสีขาวออกตามซอกใบและปลายกิ่ง มีกลีบเลี้ยงหนาเป็นสัน มีทั้งชนิดดอกลา คือกลีบดอกชั้นเดียว และชนิดดอกซ้อน มีกลีบดอกจำนวนมากเรียงซ้อนกัน เมื่อดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7-8 ซม.
    ฝัก/ผล  มีทั้งผลสั้นและยาว  รูปไข่ถึงรูปแกมรูปขอบขนาน เมื่อแก่สีเหลือง ส้ม เมล็ดจำนวนมาก ผลแก่จัดจะแตกเป็น 2 ซีก
    เมล็ด  จำนวนเมล็ดประมาณ 3-6 เมล็ด
ฤดูกาลออกดอก:  ออกดอกตลอดปี
การปลูก:  ปลูกเป็นต้นเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มเพื่อบังสายตา
การดูแลรักษา:  เป็นไม้กลางแจ้ง ต้องการแสงแดดจัด ชอบดินร่วนที่มีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอ
การขยายพันธุ์:  เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง
ส่วนที่มีกลิ่นหอม:  ดอก กลิ่นหอมแรง
การใช้ประโยชน์:
    -    นิยมนำไปร้อยพวงมาลัยบูชาพระ
    -     เมล็ดสีเหลืองทอง ใช้แต่งสีอาหารและทำสีย้อม
    -    ส่วนดอกใช้สกัดน้ำมันหอมระเหย ใช้ทำน้ำหอมและแต่งกลิ่นเครื่องสำอาง
    -    สมุนไพร
ถิ่นกำเนิด:  ประเทศไทย จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น
แหล่งที่พบ:  มีอยู่มากทางภาคเหนือ
สรรพคุณทางยา:
    -    ใบ ตำพอกแก้ปวดศีรษะ  แก้เคล็ดขัดยอก
    -     ดอก คั้นน้ำทาแก้โรคผิวหนัง
    -    ราก  แก้ไข้
    -    เปลือกต้น  แก้บิด
#3
ปาล์ม / หมากนวล รหัส 7-34190-001-493
22 มิถุนายน 2013, 10:10:38 ก่อนเที่ยง
หมากนวล รหัส 7-34190-001-493
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Veitchia merrillii (Becc.) H.E. Moore   
ชื่อวงศ์ : Palmae   
ชื่อสามัญ : Manila palm, Christmas palm   
ชื่อพื้นเมือง : หมากคอนวล หมาเยอรมัน หมากมนิลา     
ชนิดพืช [Plant Type] : ปาล์มต้นเดี่ยว   
ขนาด [Size] : สูงได้ถึง 15 เมตร   
สีดอก [Flower Color] :   สีเหลืองนวล     
ฤดูที่ดอกบาน [Bloom Time] : -    
อัตราการเจริญเติบโต [Growth Rate] : ช้า     
ลักษณะนิสัย [Habitat] : ชอบดินร่วน ระบายน้ำดี       
ความชื้น [Moisture] : ปานกลาง     
แสง [Light] : แสงแดดจัด
ลักษณะทั่วไป (Characteristic) :   ปาล์มต้นเดี่ยว ลำต้นสีน้ำตาลปนเทาขนาดประมาณ 25 เซนติเมตร  มีคอสี
เขียวนวลยาว 30-50 เซนติเมตร มีรอยหลุดของก้านใบ ถี่ชัดเจน
  ใบ (Foliage) :    ใบประกอบแบบขนนก   เรียงสลับ  ใบย่อยรูปขอบขนาน  กว้าง 2-5 เซนติเมตร  ยาว 45-75
เซนติเมตร  ปลายใบเรียวแหลม โคนใบรูปลิ่ม แผ่นใบสีเขียว
  ดอก (Flower) : สีเหลืองนวล ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงใต้โคนกาบใบ ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น ช่อดอกยาว
ประมาณ 30 เซนติเมตร
  ผล (Fruit) :    ผลสดแบบมีเนื้อเมล็ดเดียว ทรงกลมรี ขนาดประมาณ 3 เซนติเมตร ติดผลจำนวนมาก ผลสุกสี
แดงส้ม

การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) :  ทรงพุ่มสวย  นิยมปลูกเป็นกลุ่ม หรือเป็นแถว ริมถนน ริมทางเดิน
ในสวนสาธารณะ ปลูกริมทะเลได้
#4
ไม้เลื้อย / พวงหยก รหัส 7-34190-001-492
22 มิถุนายน 2013, 09:48:04 ก่อนเที่ยง
พวงหยก รหัส 7-34190-001-492
ชื่อสามัญ                 :    Gray Jade Vine , Emerald
ชื่อวิทยาศาสตร์         :   Strongylodon  macrobotrus  A.   
วงศ์                       :   PAPILIONOIDEAE

ลักษณะทั่วไป
ต้น      พวงหยกเป็นไม้เถาเลื้อย เนื้อแข็ง เถามีสีน้ำตาลเข้ม มักเลื้อยไปตามหลักต่าง ๆ หรือตามกำแพง แล้วจะทิ้งต้นย้อยลงมา แลดูสวยงาม จึงนิยมปลูกพวงหยกบริเวณริมกำแพง ซุ้มประตู หรืออาจ เป็นซุ้มที่นั่งเล่น หรือซุ้มในสวนสาธารณะ

ใบ        ลักษณะของใบเป็นใบประกอบที่มีขนาดใหญ่ ใบมีความกว้างประมาณ 4 เซนติเมตร และยาว ประมาณ 13 เซนติเมตร ใบจะออกสลับซ้าย - ขวา ไปตลอดกิ่ง และใบหนึ่งก้านใบ จะมีใบย่อย 3 ใบ ใบจะค่อนข้างรี มีปลายใบและโคนใบแหลม

ดอก
      ลักษณะของดอกจะออกเป็นช่อแล้วห้อยลง ดอกมีสีเขียวหยกดอกจะเริ่มทยอยบานจากบริเวณ โคนช่อก่อน ลักษณะของตัวดอกนั้นจะคล้ายกับดอกแค แต่ดอกพวงหยกจะมีขนาดใหญ่กว่าดอก แต่ละดอกจะมีก้านดอกยึดติดกับแกนของช่อรวมกันเป็นพวง มีกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นรูประ  ฆังส่วนกลีบดอกนั้นจะแบน ภายในหนึ่งดอกจะมี 5 กลีบ มีขนาด ต่าง ๆ มีเกสรตัวผู้อยู่กลางดอก 10 กัน ช่อดอกที่สมบูรณ์มีความยาวประมาณ 65-70 เซนติเมตร
การปลูก
ปลูกโยการใช้เมล็ด จะต้องนำเมล็ดของพวงหยกมาเพราะในกะบะเพาะ เมื่อเมล็ดแตกเป็นต้นอ่อนมีใบแท้ 2 ใบ ก็ให้ย้ายต้นอ่อนลงถุงกระดาษ ขนาดเล็กถุงละ 1 ต้น ช่วงแรกให้วางต้นกล้าไว้ในที่ร่มสัก 2 วัน แล้วจึงค่อยนำถุง ต้นกล้าออกวางให้ได้รับแสงแดดบ้าง จนได้รับแสงแดดเต็มที่ ต้นกล้าก็จะมีใบเพิ่มขึ้นเป็น 4-6 ใบ หรือประมาณ 2 สัปดาห์ ก็สามารถนำต้นกล้าลงปลูกในบริเวณที่ต้องการได้

   การปลูกให้ขุดหลุมปลูก ขนาดกว้าง ลึกประมาณ 1 x 1 ฟุต แล้วให้รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกผสมกับขี้เถ้าแกลบ หรือเศษใบไม้ในอัตราส่วน 1 x 1 แล้ววางถุงต้นกล้าลงกลางหลุม กลบดินพอเสมอโคนต้นกล้า รดน้ำให้ชุ่ม หลัง จากนั้นให้รดน้ำเช้า - เย็นทุกวัน ประมาณ 2 เดือน จึงงดน้ำตอนเย็น ให้รดเฉพาะตอนเช้าเพียง 1 ครั้ง ก็พอ
การดูแล
แสง     พวงหยกเป็นไม้กลางแจ้งที่ต้องการแสงแดดพอสมควร จึงเหมาะที่จะปลูกในบริเวณที่แสงแดดส่องได้ถึง หรืออาจจะปลูกบริเวณรั้วบ้านก็ได้

น้ำ        พวงหยกต้องการน้ำปานกลาง การให้น้ำควรให้วันละครั้ง ในตอนเช้าก็เพียงพอแล้ว

ดิน       ดินที่จะใช้ปลูกพวงหยก มักจะเป็นดินร่วน หรือดินร่วนปนทรายที่สามารถระบายน้ำได้ดี หรือไม่เป็นดินเหนียว ที่อุ้มน้ำไว้มากเกินไป

ปุ๋ย        ปุ๋ยที่ใช้ส่วนใหญ่มักจะเป็นปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักมากกว่าปุ๋ยเคมี แต่หากจะใช้ปุ๋ยเคมีก็ให้ใช้ปุ๋ยสำหรับไม้ดอกก็ได้
การขยายพันธุ์
พวงหยกมีวิธีการขยายพันธุ์โดยการปักชำกิ่ง
#5
ไม้ล้มลุก / กล้วยบัวชมพู รหัส 7-34190-001-491
22 มิถุนายน 2013, 09:41:35 ก่อนเที่ยง
กล้วยบัวชมพู รหัส 7-34190-001-491
ชื่อวิทยาศาสตร์: Musa   ornate Roxb.
ชื่อวงศ์: MUSACEAE
ชื่อสามัญ:  Flowering Banana
ชื่อท้องถิ่น:  กล้วยบัว
ถิ่นกำเนิด:  ในอินเดีย ภาคเหนือของไทย
ลักษณะวิสัย: ไม้ล้มลุก
ลักษณะ: มีเหง้าใต้ดินสั้นๆ ลำต้นเทียมประกอบด้วยกาบใบสูง 1.5-3 เมตร รูปขอบขนานดอกสีเหลืองอมส้ม ออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอก เรียกว่าปลี โคนปลีเป็นดอกเพศเมีย ด้านปลายดอกเพศผู้ ใบประดับ หุ้มช่อดอกย่อย ผลสีเหลือง รูปยาวรี เมล็ดสีดำเป็นเหลี่ยมและแบน
ประโยชน์:ใช้เป็นไม้ประดับ
การขยายพันธุ์: การแยกหน่อ