• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่เว็บไซต์งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนวารินชำราบ

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - อาริญา ไชยสา

#1
เฟิน / ผักปีกไก่ รหัส 7-34190-001-465
22 มิถุนายน 2013, 11:17:59 ก่อนเที่ยง
วงศ์               Polypodiaceae

ชื่อวิทยาศาสตร์ Pyrrosia adnascens (Sw.) Ching.

ชื่อท้องถิ่น ผักปีกไก่ (เชียงราย) เฟิร์นงูเขียว (กรุงเทพฯ)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ลำต้น เหง้า เลื้อยยาว เส้นผ่านศูนย์กลาง 1- 2 มิลลิเมตร ปกคลุมด้วยเกล็ดหนาแน่น เกล็ดรูปหอก ตรงกลางสีน้ำตาลเข้ม ริมขอบสีน้ำตาลอ่อน ยาว 3 มิลลิเมตร กว้าง 0.6 มิลลิเมตร โคนมน ขอบมีขนยาว ปลายแหลม ใบมีภาวะทวิสัณฐาน ใบไม่สร้าง สปอร์ มีก้านใบยาว 1 เซนติเมตร สีน้ำตาลเข้ม มีร่องด้านบน เกล็ดปกคลุมหนาแน่นบริเวณโคนก้าน ใบรูปขอบขนาน หรือรูปหอก ยาว 6 เซนติเมตร กว้าง 1.7 บางครั้ง ยาว 15 เซนติเมตร กว้าง 1.8 เซนติเมตร โคนรูปลิ่ม ขอบเรียบ ปลายมน เนื้อใบอวบหนาคล้ายหนัง สีเขียวอ่อน เส้นกลางใบด้านล่างนูนชัดเจน ด้านบนเป็นร่อง เส้นใบร่างแหไม่ชัดเจน ใบสร้างสปอร์มีขนาดยาวกว่า ก้านใบยาว 20 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร สีน้ำตาลเข้ม มีร่องด้านบน เกล็ดปกคลุมหนาแน่นบริเวณโคนก้าน มีขนรูปดาวปกคลุมทั่วก้านใบ ใบรูปขอบขนาน หรือรูปแถบ โคนสอบแคบ ขอบเรียบ ปลายแหลมหรือมน เนื้อใบอวบหนาคล้ายหนัง สีเขียวอ่อน ขนรูปดาวมีประปรายบริเวณเส้นกลางใบและหลังใบ เส้นกลางใบด้านล่างนูนชัดเจน ด้านบนเป็นร่อง เส้นใบร่างแหไม่ชัดเจน กลุ่มอับสปอร์เกิดปลายใบและกระจายหนาแน่นตามขอบใบ ยกเว้นเส้นกลางใบ ไม่มีเยื่อคลุมกลุ่มอับสปอร์ กลุ่มอับสปอร์อยู่ใกล้กัน เมื่อยังอ่อนมีขนรูปดาวปกคลุมหนาแน่น (ธีรพล, 2546 ; Smitinand, T. and K.Larsen, 1989)

การใช้ประโยชน์ เลี้ยงเป็นไม้กระถางแขวนประดับได้ดี หรือปลูกเกาะติดต้นไม้ ทำให้ดูเป็นธรรมชาติ
#2
ไม้ล้มลุก / ไพร กระทือ รหัส 7-34190-001-464
22 มิถุนายน 2013, 11:14:25 ก่อนเที่ยง
ไพร กระทือ รหัส  7-34190-001-464
ไพล (Phlai), Cassumunar
ชื่อวิทยาศาสตร์     Zingiber cassumunar Roxb.
วงศ์                      Zingiberaceae
ชื่ออื่นๆ                  ภาคเหนือ   :   ปูเลย (Pu-loei)  พันเลย  (Phan-loei)  เขมร   :   ปันเลย (Phan-loei)
ถิ่นกำเนิด               ไทย  อินเดีย  มาเลเซีย  อินโดนีเซีย
รูปลักษณะ              ไม้ล้มลุก  ลงหัวเป็นแง่ง ติดต่อกันคล้ายพวงขิง  ต้นกลม  ใบสีเขียวเล็กยาวเรียวแหลมมีดอกโตกลม  มีดอกเล็กๆ แซงออกตามเกล็ดออกในฤดูฝน
สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา         
เหง้า – แก้บิด  ขับฟองโลหิต  แก้ปวดท้อง  แก้ท้องผูก แก้ท้องอืดเฟ้อ  แก้จุกเสียด  บีบมดลูก  แก้ปวดบวม
น้ำมันไพล – น้ำมันสกัดจากเหง้าไพล ได้รับการพิสูจน์ผลทางยาแก้ปวดบวม โดยสถาบันวิจัย-วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล

http://www.tistr.or.th/pharma/zingiber%20cassumunar.htm
การปลูก สามารถทำได้ 2 วิธี คือ
      1. ปลูกโดยใช้เหง้า ตัดเป็นท่อน ๆ ชุบด้วยสารเคมีป้องกันเชื้อรา ทิ้งไว้สักครู่ แล้วทำการปลูกลงในแปลงที่เตรียมไว้
      2. ปลูกโดยใช้เหง้าเพาะให้งอกก่อน โดยทำการเพาะเหง้าที่ตัดเป็นท่อน ๆ ในกระบะทราย ให้แทงยอด แตกใบประมาณ 2-3 ใบ จึงย้ายลงปลูกในแปลงปลูก
การเก็บเกี่ยว
       - ระยะเก็บเกี่ยว ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงวันที่เก็บเกี่ยวผลผลิตไพล จะใช้ระยะเวลานาน 2-3 ปี เป็นระยะเวลาที่เหมาะสม เพราะจะทำให้ได้น้ำมันไพลที่มีปริมาณและคุณภาพสูง
       - วิธีการเก็บเกี่ยว ใช้จอบ เสียมขุดเหง้าไพลขึ้นมาจากดิน (ต้องระวังไม่ให้เกิดแผลหรือรอยช้ำกับเหง้า) เขย่าดินออก ตัดรากแล้วนำไปผึ่งลมให้แห้ง
การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว
      - เก็บหัวไพลที่ตัดราก และผึ่งลมให้แห้งแล้ว เก็บบรรจุกระสอบพร้อมที่จะนำไปสกัดน้ำมัน โดยเครื่องกลั่นไอน้ำ
      - สำหรับไพลที่จะนำไปผลิตเป็นลูกประคบแห้ง ให้คัดเลือกส่วนที่สมบูรณ์ปราศจากโรคและแมลง มาล้างด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง จากนั้น นำสมุนไพรมาทำให้แห้ง โดยหั่นเหง้าไพลเป็นชิ้นบาง ๆ วางบนถาดหรือกระด้ง เกลี่ยให้บาง คลุมด้วยผ้าขาวบางเพื่อป้องกันฝุ่นละออง และป้องกันการปลิวนำไปตากแดดให้แห้ง หมั่นกลับบ่อย ๆ หรือโดยการอที่อุณหภูมิ 50 C สำหรับ 8 ชั่วโมงแรก แล้วลดอุณหภูมิลงเป็น 40-45 C หมั่นกลับบ่อย ๆ จนแห้ง
สารสำคัญ
      เหง้าไพลประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีสารสำคัญที่เกี่ยวกับการออกฤทธิ์ เช่น sabinene, ? -terpinene, ?-terpinene, terpinen-4-ol, ?-pinene เหง้าไพลยังมีสารสีเหลือง curcmin และสาร butanoids derivatives ที่เป็นสารออกฤทธิ์ที่สำคัญคือ สาร D หรือ (E)-4-(3',4'-dimethoxyphenyl) but-3-en-l-ol และ (E)-1-(3',4'-dimethoxyphenyl) butadiene (DMPBD) นอกจากนี้ยังมีสาร cassumunarin A, B และ C ซึ่งเป็น complex curcuminoids ซึ่งมีฤทธิ์ antioxidant แรงกว่า curcumin
      เหง้าไพลที่มีคุณภาพได้มาตรฐานต้องมีน้ำมันหอมระเหยไม่น้อยกว่า 2 % โดยปริมาตรต่อน้ำหนัก (v/w)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่สำคัญ
      การศึกษาในสัตว์ทดลองหรือในหลอดทดลอง พบว่าสารสกัดหรือสารสำคัญของไพลมีฤทธิ์ทางยาหลายประการ ดังนี้
      1. ฤทธิ์ต้านการอักเสบ น้ำมันไพล สารสกัดเหง้าไพล และสารสำคัญในเหง้าไพลหลายชนิด ที่สำคัญคือสาร D และสาร DMPBD มีฤทธิ์ต้านอักเสบ โดยกลไกการออกฤทธิ์ยับยั้ง cycloxygenase และ lipoxygenase pathways คล้าย NSAID
      2. ฤทธิ์แก้หอบหืด สาร D สามารถต้านฤทธิ์ของฮีสตามีนในการทำให้หลอดลมหดตัวได้ จึงมีศักยภาพในการนำมาใช้เป็นยาบำบัดอาการหอบหืดได้
      3. ฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบ สารสกัดไพลสามารถลดการบีบตัวของมดลูก ลำไส้ และกระเพาะอาหารของหนูขาว ซึ่งสารออกฤทธิ์ชนิดหนึ่งในสารสกัดน่าจะเป็น สาร D เนื่องจากพบว่า สาร D มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อมดลูกและลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูขาว
รายงานการวิจัยทางคลินิก
      1. รักษาอาการอักเสบ ปวด บวม ฟกซ้ำ จากการทดสอบประสิทธิภาพของครีมไพลในนักกีฬาที่บาดเจ็บข้อเท้า พบว่า ครีมไพลจีนซาลซึ่งมีน้ำมันไพล 14 % ช่วยลดอาการปวด บวม และช่วยให้การเคลื่อนไหวข้อเท้าดีขึ้น
      2. ฤทธิ์ต้านฮีสตามีนในผู้ป่วยเด็กโรคหืด จากการศึกษาในเด็กที่เป็นหืด พบว่า ไพลมีฤทธิ์ต้านฮีสตามีนโดยสามารถลดขนาดของตุ่มนูนจากการฉีดน้ำยาฮีสตามีน เข้าใต้ผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ และไพลช่วยให้ผู้ป่วยที่กำลังหอบ มีอาการหอบน้อยลง การทำงานของปอดดีขึ้น และเมื่อใช้ไพลติดต่อกัน 3 เดือน ทำให้อาการหอบน้อยลง ใช้ยาขยายหลอดลมตามความจำเป็นลดลง
ข้อควรระวัง
      1. ห้ามใช้ครีมไพลทาบริเวณขอบตา และเนื้อเยื่ออ่อน
      2. ห้ามทาครีมไพลบริเวณผิวหนังที่มีบาดแผล หรือมีแผลเปิด
      3. ไม่แนะนำให้ใช้กับสตรีมีครรภ์ หรือระหว่างให้นมบุตรและกับเด็กเล็ก
ข้อบ่งใช้ ขนาดที่ใช้ และวิธีใช้ (ตามบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2542)
     ครีมที่มีน้ำมันไพล 14 % ใช้รักษาอาการบวม ปกช้ำ เคล็ดยอก โดยทาและถูเบา ๆ บริเวณที่มีอาการวันละ 2-3 ครั้ง
     ยาประสะไพลเป็นตำรับยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณและเป็นยาในบัญชียาหลัก แห่งชาติที่มีไพลเป็นส่วนประกอบหลักอยู่ในรูปของยาผง ประกอบด้วย ไพลหนัก 81 ส่วน ผิวมะกรูด ว่านน้ำ กระเทียม หัวหอม พริกไทย ดีปลี ขิง ขมิ้นอ้อย เทียนดำ เกลือสินเธาว์ หนักสิ่งละ 8 ส่วน การบูรหนัก 1 บาท ใช้สำหรับรักษาอาการระดูมาไม่ตามกำหนดหรือมีปริมาณน้อยกว่าปกติ โดยให้รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา ละลายน้ำสุก 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร           เอกสารอ้างอิง 1. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2544). พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : บริษัทประชาชน จำกัด, 2544. หน้า 263.
2. คู่มือการปลูกพืชสมุนไพร. 2543.
3. คู่มือพืชสมุนไพรและเครื่องเทศ ชุดที่ 3 พืชสมุนไพรน้ำมันหอมระเหย. 2543.
4. http://www.medplant.mahidol.ac.th/doae/012.htm
5.Tropical Science 1971; 13(3): 199-204.
6. Bull Dep Med Sci 1976; 18(3): 75-79.
7. Aust J Chem 1979; 32: 71-88.
8. Thai Herbal Pharmacopoeia Volume I. Prachachon Co., Ltd. Bangkok. 1998. p. 51-56.
9.Tetrahedron 1994; 35(7): 981-984.
10.บัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (บัญชียาจากสมุนไพร๗. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด, 2543.
      หน้า 38-45.
11.Chem Pharm Bull 1991;39(9): 2353-2356.
12.Planta Med 1990; 56:655.
13.J Ethanopharmacol 2003; 87(2-3): 143-148.
14.ว กรมวิทย พ 2522; 21(1): 13-24.
15.วารสารสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ 1980;12(1):1.
16.Planta Med 1987; 53(4): 329-32.
17.ศรีนครินทร์เวชสาร 2536; 8(3): 159-164.
18.สารศิริราช 2529; 38(4): 251-255.
19.สารศิริราช 2527;36(1): 1-5.
http://ittm.dtam.moph.go.th/product_champion/herb10.htm

ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Zingiber cassumunar Roxb.
วงศ์ :    Zingiberaceae
ชื่อท้องถิ่น :   ปูลอย ปูเลย(ภาคเหนือ) ว่านไฟ(ภาคกลาง) มิ้นสะล่าง (เงี้ยว - แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะของพืช :   ไพลเป็นพืชลงหัว มีเหง้าใหญ่ เนื้อในสีเหลือง มีกลิ่นหอมใบเรียวยาว ปลายแหลม
                                ดอกออกรวมกันเป็นช่ออยู่ก้านช่อดอก
การปลูก :   ใช้เหง้าปลูก ชอบดินเหนียวปนทราย ระบายน้ำได้ดีมีแสงแดดพอควร จะปลูกเป็น
                   แปลง หรือปลูกทีละกอก็ได้วิธีปลูกโดยขุดจากกอเดิม ตัดลำต้นทิ้ง และนำเอาปลูก
ส่วนที่ใช้เป็นยา :   เหง้าแก่จัด
ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา :   เก็บเหง้าแก่จัด หลังจาต้นไพลลงหัวแล้ว
รสและสรรพคุณที่ใช้เป็นยา :   แก้ฟกช้ำ บวม เคล็ด ยอก ปวดเมื่อย ขับลม ท้องเดิน ช่วยขับระดูหรือประจำเดือนของสตรีนิยมใช้หลังจากที่คลอดบุตรแล้ว
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ :   เหง้าไพลมีน้ำมันหอมระเหย ร้อยละ 0.8 และมีสารที่ให้สีชื่อ Curcumin จากการ
ทดลองพบว่า มีฤทธิ์ลดอาการอักเสบ กรดวิทยาศาสตร์ การแพทย์มีการค้นคว้า
สาระสำคัญที่มีสรรพคุณแก้หอบหืดและมีการวิจัยทางคลีนิคโดยใช้รักษาโรคหืดในเด็ก และไม่มีพิษเฉียบพลัน
วิธีใช้ :     เหง้าเป็นยารักษาอาการเคล็ดขัด ยอก ฟกช้ำโดยใช้เหง้าไพล 1 เหง้า ตำแล้วคั้นเอา
              น้ำมาทานวด บริเวณที่เกิดอาการ หรือตำให้ละเอียดแล้วผสมเกลือเล็กน้อยคลุกเข้าด้วยกัน   
            แล้วนำมาห่อเป็นลูกประคบ  อังไอน้ำให้เกิดความร้อนขึ้นมาประคบที่มีอาการปวดเมื่อยและฟกช้ำ
      http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/science03/35/Zingiber.htm
                                                    ชื่ออื่นๆ พายับ ว่านไฟ ปูเลย
ชื่อสามัญภาษาอังกฤษ - ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber purpureum (Koenig) Link ex Dietr
ชื่อวงศ์   Zingiberaceae
ส่วนที่ใช้
ดอก ลำต้นใต้ดิน (rhizome)
ส่วนประกอบ
•   สารสำคัญแคสซูมิวนาควิโนน (cassumunaquinone)
•   อัลฟลาบีน (alflabene)
•   แคสซูมูนส์ (cassumunes)
•   สารเคอร์คิวมิน (curcumin)
•   และน้ำมันหอมระเหย
สรรพคุณและวิธีใช้
ดอก   ช่วยกระจายเลือดที่เป็นลิ่ม ใช้กินเป็นยาถ่ายรักษาโรคบิด หากนำน้ำคั้นไปผสมการบูรและน้ำมันเบนซิน
จะได้ยาทาแก้เหน็บชาชนิดที่มีอาการบวมด้วยได้ดี
หัวหรือเหง้า   ควรใช้เหง้าแก่จัด ขับประจำเดือนให้สะดวก ทาถูนวด แก้เหน็บชา แก้เมื่อยขบ เคล็ดขัดยอก ฟกบวม แก้ท้องอืด มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ แก้บิด สมานลำไส้ นิยมใช้หลังการคลอดบุตร
เหง้าสด   ฝนทาแก้ฟกช้ำบวม เส้นตึง เมื่อยขบ เหน็บชา สมานแผล จากการทดลองพบว่ามีฤทธิ์ลดการอักเสบ แก้หอบหืด รักษาโรคหืดในเด็ก
หมายเหตุ
• ครีมผลิตจากไพลชื่อ "ไพลจีซาล" รักษาอาการปวดเมื่อย ฟกช้ำ ใช้ขับประจำเดือน
สูตรผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม
ทำน้ำมันไพลไทย โดยเอาไพลหนัก 2 กิโลกรัมทอดในน้ำมันพืชร้อนๆ 1 กิโลกรัม ทอดจนเหลืองแล้วเอาไพลออก ใส่กานพลู 4 ช้อนชา ทอดต่อไปอีก 10 นาที แล้วกรอง ตั้งทิ้งไว้จนเย็นจึงใส่การบูรให้ละลาย ใช้ถูนวด 2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือทานวดเวลาปวด (ควรเลือกน้ำมันพืชที่บริสุทธิ์และเหมาะสม)
หมายเหตุ
• ไพลดำมีฤทธิ์แรงกว่าไพลธรรมดา เป็นยาอายุวัฒนะ
• ไพลป่าต้นเล็ก ช่อดอกเล็กกว่า แต่มีฤทธิ์แรงกว่า
http://www.salasamunprai.com/herbs/zingiber.html
#3
ไม้พุ่ม / พุดชมพู รหัส 7-34190-001-463
22 มิถุนายน 2013, 11:10:39 ก่อนเที่ยง
พุดชมพู รหัส 7-34190-001-463
ชื่ออื่นๆ :   ตึ่งตาใส (ภาคเหนือ)  อุณากรรณ  เข็มอุณากรรณ
ชื่อสามัญ :   
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Kopsia fruticosa A. DC.
วงศ์ :   Apocynaceae
ถิ่นกำเนิด :   จีน พม่า มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ในไทยพบในป่าดิบหรือป่าที่กำลังคืนสภาพบนภูเขาหินปูนที่ระดับความสูง 500 ม.
ลักษณะทั่วไป :   ไม้พุ่มขนาดเล็ก ไม่มีทรงพุ่มที่แน่นอน
ฤดูการออกดอก :   ฤดูฝน (พ.ค. - ก.ย.)
เวลาที่ดอกหอม :   อยู่ในระหว่างการเก็บข้อมูล
การขยายพันธุ์ :   
อยู่ระหว่างการเก็บข้อมูล แต่จากการค้นคว้าข้อมูลพบว่า มีการติดเมล็ด สันนิฐานว่าน่าจะขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดได้ง่าย

ข้อดีของพันธุ์ไม้ :   
ปลูกได้ดีในดินเกือบทุกชนิด

นิยมปลูกเพื่อให้ร่มเงา ดอกสวยงาม

อดทนต่อสภาพแวดล้อม

ข้อแนะนำ :   
ไม่ชอบพื้นที่น้ำขังแฉะ ชอบดินร่วนโปร่ง

ข้อมูลอื่นๆ :   
เป็นพันธุ์ไม้ที่มียางสีขาว

เอกสารอ้างอิง :   1.   http://www.panmai.com/knowboard/506.htm

2.   http://www.dongdib.com/kp_bot_garden/kpb_01-4.htm

3.   Tem Samitinand.  Thai Plant Names.  Revised Edition 2001. 810 p. (307)
4.   Uamporn Veesommai and Thaya Janjittikul.  Plant Materials in Thailand in 2001. 640 p. (208)

รวบรวมโดย   : นพพล เกตุประสาท หน่วยอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชพรรณ ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ. นครปฐม
http://clgc.rdi.ku.ac.th/index.php/resource/65-new-fragrant/210-kopsia
#4
ไม้ต้น / โมกด่าง รหัส 7-34190-001-462
22 มิถุนายน 2013, 10:53:31 ก่อนเที่ยง
โมกด่าง รหัส 7-34190-001-462
ชื่ออื่นๆ : ปิดจงวา (เขมร)  โมกบ้าน  หลักป่า
ชื่อสามัญ : -
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Wrightia religiosa Benth. "variegata"
วงศ์ : Apocynaceae
ถิ่นกำเนิด : ประเทศไทย
ลักษณะทั่วไป : นิยมปลูกเป็นไม้พุ่มเตี้ยขนาดเล็กสูงประมาณ 1.5 - 2 ม. เพื่อความสะดวกในการตัดแต่งทรงพุ่ม (หากปล่อยให้เจริญเติบโตตามธรรมชาติจะแตกกิ่งก้านสาขามากไม่ค่อยเป็น ระเบียบ) การขยายพันธุ์ :
   การเสียบยอด โดยใช้โมกมันเป็นต้นตอ
   การตอน ใช้เวลา 1.5 - 2 เดือนจึงออกราก และมีความจำเป็นที่ต้องใช้ฮอร์โมนช่วยเร่งการออกราก
ข้อดีของพันธุ์ไม้ :
   ควบคุมการออกดอกได้ด้วยการควบคุมการให้น้ำและปุ๋ยที่เหมาะสม
   เป็นพันธุ์ไม้ที่มีใบด่างเหลืองสลับเขียวสวยงาม และมีดอกที่มีกลิ่นหอมเป็นผลพลอยได้
   สามารถตัดแต่งให้เป็นรูปทรงต่างๆ ที่สวยงามตามต้องการได้ดีชนิดหนึ่ง
   ใช้พื้นที่ในการปลูกน้อยมากเพียง 1 ตารางเมตร ก็สามารถปลูกพันธุ์ไม้ชนิดนี้ได้แล้ว
   เป็นพันธุ์ไม้ที่เหมาะกับพื้นที่ที่เป็นที่โล่งแจ้ง เช่น ตามสนามหญ้าต่างๆ
   มีอายุในการประดับได้นานหลายปีภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด
   ในกรณีที่ไม่มีพื้นที่ก็สามารถปลูกในกระถางได้ดีชนิดหนึ่ง
ข้อแนะนำ :
   โมกซ้อนด่างเป็นพันธุ์ไม้ที่นิยมขยายพันธุ์โดยการเสียบยอด โดยใช้โมกมันเป็นต้นตอ
   หากพบยอดที่แตกใหม่มีใบสีเขียวควรเด็ดทิ้งทั้งหมด หากปล่อยไว้ กิ่งก้านที่ใบสีเขียวจะเจริญเติบโตได้รวดเร็วกว่ากิ่งก้านที่ใบด่างที่เรา ต้องการ และทำให้ส่วนใบด่างค่อยๆ ตายได้หากปล่อยไว้นานๆ
   การตัดแต่งทรงพุ่มควรทำอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง จะทำให้ทรงพุ่มแน่นสวยงาม
   การตัดแต่งบ่อยๆ จะทำให้ใบของโมกซ้อนด่างมีขนาดเล็กลง แต่มีจำนวนใบเพิ่มมากขึ้น หากท่านพบอาการดังกล่าว ไม่ต้องตกใจ เพราะว่าลักษณะดังกล่าวเป็นลักษณะที่ต้องการโชว์ทรงพุ่ม สามารควบคุมทรงพุ่มให้สวยงามได้ง่ายในภายหลัง
   รูปทรงที่นิยม ทรงกลมที่ปลายกิ่ง ทรงเหลี่ยม ใช้ประดับสวนและสนามหญ้าได้ดี
   พันธุ์ไม้ในตระกูลนี้ส่วนใหญ่จะชอบพื้นที่ที่ไม่มีน้ำท่วมขัง แต่ก็ยังต้องการน้ำในระดับกลางๆ ในฤดูแล้งควรรดน้ำสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง (รดน้ำพอชุ่ม)
   ภายหลังการดูแลรักษาที่ดีจะพบว่า มีกิ่งขนาดใหญ่ทยอยแตกมาเป็นระยะๆ ควรรีบตัดออกทันที เพราะบริเวณทรงพุ่มที่มีกิ่งขนาดใหญ่แตกขึ้นมานั้นใบจะร่วงได้ง่าย และเมื่อมีการตัดแต่งภายหลังจากการที่เราปล่อยให้มีกิ่งขนาดใหญ่ไว้นาน จะทำให้บริเวณนั้นโปร่งและดูไม่สวยงาม
   ในกรณีที่ต้องการจะเพิ่มเติมทรงพุ่มใหม่ ควรเหลือกิ่งให้น้อยที่สุดและดูแลให้อยู่ในรูปแบบเราต้องการตลอดเวลา จะทำให้ได้ทรงพุ่มใหม่เพิ่มขึ้นโดยไม่มีผลกระทบกับทรงพุ่มเดิม
   โมกด่างเป็นพันธุ์ไม้ที่มีราคาตั้งแต่ไม่ถึง 100 บาท ไปจนถึงหลายพันบาท ขึ้นอยู่กับขนาดของลำต้น และทรงพุ่ม (ยิ่งต้นใหญ่ ยิ่งทรงพุ่มสวยงาม ยิ่งมีราคาแพง) เลือกให้ถูกใจไว้ก่อน ราคาค่อยว่ากันทีหลังครับ
ข้อมูลอื่นๆ :
   ยาง ใช้แก้โรคบิดที่มีอาการเลือดออก ใช้แก้พิษงู และแมลงกัดต่อย
   ราก รักษาโรคเรื้อน
   มีความเชื่อว่า "โมก" จะทำให้เกิดความสุข บริสุทธิ์ สดใส คุ้มกันภัย ราศีพฤษภ (15 พ.ค.-14 มิ.ย.) ชาวพฤษภ เป็นผู้ที่มีความตั้งใจในการทำงานสูง มีความจริงใจ ใจกว้าง มีชีวิตที่ไม่โลดโผน
หมายเหตุ :
   โดยธรรมชาติโมกด่างมีระบบรากไม่ค่อยแข็งแรง ดังนั้นกิ่งที่ได้จากการตอนจึงมีการเจริญเติบโตได้ไม่ดีนัก
   โมกซ้อนด่างเป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบอยู่กลางแจ้ง การปลูกโมกในที่มีแสงแดดไม่เพียงพอจะทำให้ต้นสูงชะลูด และทำให้เสียรูปทรง ความแน่นของใบจะน้อยทำให้ความสวยงามลดลง ข้อนี้สำคัญมากนะครับอย่าลืมพิจารณาก่อนปลูก
   โมกชนิดต่างๆ ยังไม่มีการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ที่แน่นอน ผู้รวบรวมจึงขอใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ของโมกไปก่อน หากท่านใดทราบรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อผู้รวบรวมที่ โทร. 087-166-5251 เพื่อจะได้เพิ่มเติมข้อมูลต่อไป ขอขอบพระคุณยิ่ง
เอกสารอ้างอิง :
1.   http://158.108.70.5/kusbotanic/plant2544/128_mokdang.html

2.   http://counsel.spu.ac.th/story/test_story/newstory.php?status=1&story=108.txt

3.   http://www.pharm.chula.ac.th/vichien/building80/mokeban.htm

4.   Uamporn Veesommai and Thaya Janjittikul.  PLANT MATERIALS IN THAILAND IN 2001. 640 p. (336)
5.   วุฒิ วุฒิธรรมเวช.  2540.  สารานุกรมสมุนไพรไทย. บริษัท โอเดียนสโตร์ จำกัด. พิมพ์ครั้งที่ 1. 620 หน้า (375)
รวบรวมโดย : นพพล เกตุประสาท  หน่วยอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชพรรณ ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ. นครปฐม
http://clgc.rdi.ku.ac.th/index.php/rs/ornamental/339-wrightia
#5
ไม้ต้น / สนฉัตร รหัส 7-34190-001-461
22 มิถุนายน 2013, 10:52:17 ก่อนเที่ยง
สนฉัตร รหัส 7-34190-001-461
ชื่อสามัญ    ชื่อวิทยาศาสตร์   Aruacaria heterophylla (Salisb.) Franco cv. Glauca
วงศ์ ARUCARIACEAE
ลักษณะทั่วไป
สนฉัตร เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 5-15 เมตร ผิวเปลือกลำต้นสีน้ำตาล ลำต้นมีตุ่มเล็ก ๆ
    ขึ้นรอบต้น ลำต้นกลมทรงพุ่มโปร่ง และมีเกล็ดใบเล็ก ๆ ออกตามต้นส่วนยอดการเจริญแตกกิ่งก้านเป็นชั้นๆออกไปตาม แนวนอน ส่วนลำต้นขึ้นตรงไปใบเป็นใบกระกอบออกตามกิ่งก้านเป็นเกล็ด มีลักษณะเป็นขนสั้นเล็กมีสีเขียว เรียงตัวกันแน่น
การเป็นมงคล
     คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นสนฉัตรไว้ประจำบ้าน จะทำให้เกิดความสนใจจากบุคคลทั่วไป เพราะ สน คือการสนใจ เห็นใจ ในสิ่งที่ดีงามนอกจากนี้ยังทำให้มีเกียรติและความสง่า เพราะ สนฉัตร มีทรงพุ่มลักษณะคล้ายเครื่องสูงที่ใช้ในพิธแห่เกียรติยศ และลักษณะการเจริญของลำต้นกิ่งก้านเด่นชัด ตระหว่านงาม
ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นสนฉัตรไว้ทางทิศเหนือผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาคุณทั่วไปให้ปลูกในวันเสาร์ ถ้าจะให้เป็ฯมงคลมากยิ่งขึ้น ผู้ปลูกควรเป็นผู้ใหญ่ที่ควรเคารพนับถือ และเป็นผู้ประกอบคุณงามความดีก็จะเป็นสิริมงคลยิ่งนัก

การปลูก
การปลูกมี 2 วิธี
1.การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน ขนาดหลุมปลูก 50 x 50 x 50 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก :
    ดินร่วน อัตรา 1 : 2 ผสมดินปลูก
2. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคาร นิยมใช้กับต้นสนฉัตรอายุระหว่าง 1-3 ป การปลูกควรใช้กระถางทรงสูงขนาด12-18 นิ้วใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก:แกลบผุ:ดินร่วนอัตรา 1:1:1 ผสมดินปลูกควรเปลี่ยนกระถางแล้วแต่ความเหมาะสมของทรงพุ่ม ถ้าต้นสนฉัตรมีอาจุมากกว่า 5 ป ขึ้นไป เหมาะที่จะปลูกในแปลงปลูกเพราะทรงพุ่มโตขึ้น
การดูแลรักษา
แสง : ต้องการแสงแดดปานกลาง จนถึงแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง
น้ำ : ต้องการปริมาณน้ำมาก ควรให้น้ำ 3-5 วัน/ครั้ง
ดิน : ชอบดินร่วนซุย มีความชื้นสูง
ปุ๋ย : ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 3-5 ครั้ง
การขยายพันธ์ : การปักชำ การเพาะเมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดี คือ การเพาะเมล็ด
โรค : โรครากเน่า
ศัตรู : ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องศัตรู เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อการทำลายของศัตรูพอสมควร
อาการ : ใบซีดเหลือง ร่วง และแห้งตาย เกิดบริเวณปลายกิ่ง
การป้องกัน : ควบคุมการให้น้ำ และความชื้นในดินที่เหมาะสม
การกำจัด : ใช้ยาแคปแทน ไซแนบ อัตราและคำแนะนำระบุไว้ตามฉลาก
http://www.maipradabonline.com/maimongkol/sonchut.htm
#6
ไม้ต้น / อินทนินบก รหัส 7-34190-001-009
22 มิถุนายน 2013, 10:17:15 ก่อนเที่ยง
อินทนินบก รหัส 7-34190-001-009
ชื่อวิทยาศาสตร์     Lagerstroemia macrocarpa  Wall.
ชื่ออื่น      กากะเจา (อุบลราชธานี)  จันล่อ  จะล่อ  จะล่อทุกวาง (ภาคเหนือ)
วงศ์     LYTHRACEAE
ลักษณะทั่วไป
•   ไม้ต้น สูง 5-15 เมตร  เรือนยอดรูปไข่หรือทรงกระบอก 
•   เปลือกสีน้ำตาลอ่อน ลำต้นมีปุ่มปมหรือรอยแผลเป็นของกิ่งที่หลุดร่วงไป 
•   ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม แผ่นใบรูปไข่กลับหรือรูปรี ปลายมนหรือเป็นติ่งแหลม โคนมนหรือสอบ ขอบเรียบ ผิวเกลี้ยงเป็นมันทั้งสองด้าน  หลังใบสีเขียวเข้มกว่าท้องใบ 
•   ดอกสีม่วงเข้ม ม่วงอ่อน ชมพูอมม่วง ออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง 
•   ผลตูมรูปลูกข่าง 
•   ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด
อินทนิลบกเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 3-10 เมตรเรือนยอดรูปทรงกลมยาว ปลายกิ่งชูขึ้น เปลือกสีน้ำตาลอ่อน ค้อนข้างเรียบ ลำต้น มีปุ่มปม
ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปไข่กลับ หรือรูปป้อมๆ กว้าง 12-17 ซม. ยาว 20-30 ซม. ปลายมน โคนสอบแหลมเป็นมัน สีเขียวเข้ม เป็นมัน ปลายแยกเป็น 6 แฉก
ดอกออกเป็นช่อ กลีบดอกมี 6 กลีบ รูปกลมบาง ยับย่น ขอบย้วยโคนกลีบเรียวเป็นก้านสั้นๆ เมื่อบานมี เส้นผ่านศูนย์กลาง10-12 ซม. เกสรเพศผ ู้มีจำนวนมาก
ผลรูปรีกว้าง2-2.3 ซม. ยาว 28-3.7 ซม. เปลือกแข็งเมื่อแก่แตกได้ เมล็ดมีจำนวนมาก ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด
พบได้ทั่วไปตามป่าผลัดใบและป่าเบญจพรรณ
#7
ไม้ต้น / กระโดน รหัส 7-34190-001-008
22 มิถุนายน 2013, 09:53:10 ก่อนเที่ยง
กระโดน  รหัส 7-34190-001-008 
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Careya sphaerica Roxb.
ชื่อวงศ์ : LECYTHIDACEAE (BARRINGTONIACEAE)
ชื่อสามัญ : Tummy-wood
ชื่อพื้นเมือง : กระโดน (ภาคกลาง, ภาคใต้), กะนอน (เขมร), ขุย (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), จิก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), แซงจิแหน่ เส่เจ๊อะมะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ปุย (ภาคใต้, ภาคเหนือ), ปุยกระโดน (ภาคใต้), ปุยขาว ผ้าฮาด (ภาคเหนือ), พุย (ละว้า-เชียงใหม่), หูกวาง (จันทบุรี)

ลักษณะวิสัย : ไม้ต้นขนาดกลาง ผลัดใบ สูง 10-30 ม. หน้าแล้งจะทิ้งใบหมดแล้วผลิใบใหม่พร้อมดอก
ใบเดี่ยว เรียงสลับถี่ๆ ที่ปลายกิ่ง รูปไข่กลับ ปลายแหลม เป็นติ่งสั้นๆ โคนเรียวยาวดูคล้ายครีบ ขอบหยักเล็กน้อย
ดอกใหญ่ ออกเป็นช่อ แต่ละดอกมีใบประดับ 3 ใบ กลีบเลี้ยง 4 กลีบ โคนกลีบติดกันเป็นรูประฆัง กลีบดอก 4 กลีบ สีขาว เกสรเพศผู้มีจำนวนมาก รังไข่ 4 ช่อง
ผลรูปไข่หรือกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 5-8 ซม. ที่ปลายผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่ เมล็ดแบน สีน้ำตาลอ่อน รูปขอบขนาน ผิวเรียบ

ประโยชน์ : เนื้อไม้ค่อนข้างหยาบแข็ง และหนัก สีแดงแก่หรือน้ำตาลแกมแดง เสี้ยนค่อนข้างตรง ทนทานในร่ม ใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน ทำเครื่องเรือน เครื่องมือเครื่องใช้ ถ้าอาบน้ำยาอย่างถูกต้องแล้วใช้เป็นหมอนรองรางรถไฟได้ดี เปลือกใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้พิษงู แก้เมื่อยเคล็ด เป็นยาฝาดสมาน ใช้เบื่อปลา และใช้เป็นสีย้อม เส้นใยที่ได้จากเปลือก หยาบ ใช้ทำเชือก ทำเบาะรองหลังช้าง ทำกระดาษสีน้ำตาล ใบมีรสฝาด มีแทนนินร้อยละ 19 แพทย์แผนโบราณใช้ใบผสมกับเครื่องยาอื่นๆ ปรุงเป็นยาสมานแผล ใช้เบื่อปลา ดอกและยอดกินเป็นผักได้ ดอกและน้ำจากเปลือกสดใช้ผสมกับน้ำผึ้งจิบแล้วชุ่มคอ แก้ไอและแก้หวัด เป็นยาบำรุงหลังการคลอดบุตร ผลกินได้ ช่วยย่อยอาหาร เป็นยาฝาดสมาน
โทษ : เมล็ดเป็นพิษ รากมีพิษ ใช้เบื่อปลา
#8
ไม้ต้น / ตะแบกนา รหัส 7-34190-001-007
22 มิถุนายน 2013, 09:47:06 ก่อนเที่ยง
ตะแบกนา รหัส 7-34190-001-007
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lagerstroemia floribunda Jack
ชื่อวงศ์ : LYTHRACEAE   
ชื่อพื้นเมือง : กะแบก ตะแบกไข่ ตะเเบกแดง ตะแบกน้ำ ตะแบกปรี้   
บางอตะมากอ  บางอยามู   แบก เปื๋อยด้อง
เปื๋อยนา เปื๋อยหางค่าง
ลักษณะทั่วไป (Characteristic) :    ไม้ต้นขนาดใหญ่ ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มกลม โคนต้นเป็นพูพอนสูง  เปลือกต้นเรียบเป็นมันสีเทาหรือสีเทาอ่อนอมขาว มีแผลเป็นหลุมตื้นๆตลอดลำต้น
ใบ (Foliage) :   ใบเดี่ยว  เรียงตรงข้าม  ใบรูปใบหอก  กว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาว 12-20 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบรูปลิ่ม ชอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบหนา ใบเเก่เกลี้ยง ใบอ่อนสีชมพูหรือแดง มีขนสั้น
ดอก (Flower) :   สีชมพูอ่อนหรือม่วงอ่อน   ออกเป็นช่อแบบช่อเเยกแขนงตามซอกใบปลายกิ่ง     ช่อดอกยาว 30-40 เซนติเมตร ก้านช่อดอก และดอกตูมมีขนสีน้ำตาลอ่อนปกคลุม กลีบเลี้ยงมี 10-12 สัน ปลายแยก  5-6 กลีบ มีขนสีน้ำตาลด้านนอกและปลายกลีบด้านใน กลีบดอก 6 กลีบ ดอกบานเต็มที่กว้าง 2.5-3.5 เซนติเมตร
ผล (Fruit) : ผลแห้งแตก รูปไข่สีน้ำตาล เเตกเป็น 5-6 พู เมล็ดแบน สีน้ำตาล มีปีก
การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) :     ทรงพุ่มสวย มีดอกสวยมีสีสัน   นิยมปลูกประดับสวนให้ร่มเงา ริมถนน ลาดจอดรถ ริมสระว่ายน้ำ ปลูกริมทะเล ทนแล้งและทนน้ำท่วงขังได้บ้าง
ประโยชน์ : ผลทำไม้ประดับแห้ง เนื้อไม้ใช้ก่อสร้าง เปลือก แก้ท้องเสีย  ราก  ต้ม แก้ไข้ เนื่องจากปวดกล้ามเนื้อ  นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ