ผู้เขียน หัวข้อ: ส่งงาน CMS LMS LCMS  (อ่าน 1890 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

sittisak54

  • บุคคลทั่วไป
ส่งงาน CMS LMS LCMS
« เมื่อ: วันที่ 27 พฤษภาคม 2010, 10:52:20 »
นาย สิทธิศักดิ์ จันทะสาร
เลขที่ 17 ชั้น ม.5/4
ความ หมาย ความต่าง ตัวอย่างของ CMS LMS และ LCMS

ความหมาย CMS LMS และ LCMS
CMS คืออะไร
CMS คือระบบจัดการคอนเทนท์เนื้อหาของเว็บไซต์ (Content Management System) เป็นระบบที่ถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาสคริปต์เพื่อให้วิธีการทำงานเป็นแบบ อัตโนมัติ เพื่อช่วยประหยัดทรัพยากรในการพัฒนาและบริหารเว็บไซต์ ทั้งเรื่องของกำลังคน ระยะเวลา และต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการสร้างและควบคุมดูแล
CMS ส่วนใหญ่จะต้องมีเมนูควบคุมที่ใช้ในการบริหารจัดการการทำงานต่างๆในเว็บไซต์ เมนูที่ว่านี้จะทำให้ผู้ดูแลสามารถบริหารจัดการเนื้อหาได้รวดเร็ว ที่สำคัญคือ CMS จะเน้นที่การทำงานผ่านเว็บไซต์ ทำให้ผู้ดูแลสามารถเข้ามาแก้ไขข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา
CMS สามารถเพิ่มเติม ดัดแปลง แก้ไขแล้วประยุกต์เพื่อให้เหมาะสมตามรูปแบบและประเภทของแต่ละเว็บไซต์ได้ อย่างเช่น การนำเสนอบทความ, เว็บไดเรคทอรี่, การเผยแพร่ข่าวสารต่างๆและหัวข้อข่าว, รายงานสภาพดินฟ้าอากาศ, ถาม/ตอบปัญหา, ห้องสนทนา, กระดานข่าว และส่วนอื่นๆอีกมากมายที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอัปเดทข้อมูลเป็นกิจวัตร

http://www.kroobannok.com/41

ความหมายLMS
LMS ย่อมาจาก Learning Management System เป็นระบบที่ใช้บริหารจัดการการเรียนรู้ที่อำนวยความสะดวกในการจัดกลุ่ม เนื้อหาและกิจกรรมการเรียนรู้ การสื่อสารโต้ตอบระหว่างผู้สอน (Instructor/Teacher) กับผู้เรียน(Student) รวมทั้งการสร้างแบบทดสอบ การทดสอบและการประเมินผลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มี 2 ลักษณะ คือ
1.ซอฟต์แวร์ฟรี (Open Source LMS)
2. ซอฟต์แวร์ที่บริษัทเอกชนพัฒนาเพื่อขายโดยเฉพาะ (Commercial LMS)

http://zonedeedz.thport.com/bbs/frame.php?frameon=yes&referer=http%3A//zonedeedz.thport.com/bbs/viewthread.php%3Ftid%3D26

ความหมาย LCMS

Learning Content Management System หรือ LCMS นั้น ใช้ในการสร้างระบบเรียนรู้แบบออนไลน์ (E-Learning) สามารถแยกผู้ใช้งานเป็น 3 ส่วน คือส่วนผู้ดูแลระบบ (Administrator) ส่วนอาจารย์ผู้สร้างเนื้อหาการเรียน (Content Developer) และส่วนผู้เรียน (Student) Tools ที่เป็น Open source หรือ Freeware และได้รับความนิยมในแวดวงการศึกษาเป็นอันดับต้นๆ ได้แก่ Moodle (http://www.moodle.org/), ATutor (http://www.atutor.ca/) เป็นต้น

http://gotoknow.org/blog/porjai/52645
ความแตกต่าง CMS LMS และ LCMS
CMS มุ่งเน้นระบบการจัดการเนื้อหาของเว็บไซต์
LMS มุ่งเน้นการจัดการเกี่ยวกับผู้เรียน กิจกรรมของผู้เรียน ติดตามความกว้าหน้า และประเมินความสามารถของผู้เรียน
LCMS มุ่งเน้นการนำเสนอเนื้อหา การนำเนื้อหากลับมาใช้ใหม่ การจัดการและการปรับปรุงเนื้อหาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่าง CMS LMS และ LCMS
- ตัวอย่างของ CMS


/s320/cms+1.gif



-ตัวอย่าง LMS



-ตัวอย่าง LCMS





ประโยชน์ของ CMS

อย่างหนึ่งก็คือการจัดการเนื้อหาสามารถทำได้อย่างง่ายดายแม้แต่คนที่ใช้ คอมพิวเตอร์ไม่เป็น ทำให้ CMS  ได้รับความนิยมและมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง

ในปัจจุบันมีการนำ CMS มาดัดแปลงใช้กับเวปไซต์หลายๆรูปแบบรวมถึงการค้าขายบนอินเทอร์เน็ตหรือที่เรา เรียกกันว่า อีคอมเมิร์ส (e-commerce) ผู้ใช้สามารถเปิดร้านค้าออนไลน์และสามารถจัดการกับสินค้าได้ด้วยตัวเองโดย ไม่ต้องมีความรู้ด้านโปรแกรมมิงมากนัก วันนี้ผมขอแนะนำ CMS สำหรับการทำ e-commerce ให้ลองไปศึกษาใช้กันครับ

   1. Magento มีรูปแบบการพัฒนาที่มีความน่าสนใจโดยจะแบ่งการทำงานออกเป็น module ทำให้มีความยืดหยุ่นในการทำงาน มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินซื้อ

   2. PrestaShop เป็น CMS e-commerce ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงที่สำคัญฟรีด้วย

   3. Drupal e-commerce เป็น package สำหรับทำให้ drupal กลายเป็น e-commerce เป็น opensource มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน

   4. ZenCart มีแนวติดที่ว่ารูปแบบดีไซน์ต้องมีความแตกต่างจากเวปไซค์ e-commerce อื่นๆ จุดเด่นคือ ใช้งานง่ายและฟรี

   5. osCommerce จุดเด่นเป็น opensource (GNU General Public License) มีระบบจัดการมากมาย

   6. VirtueMart ตัวนี้ไม่เได้เป็น CMS เลยซะทีเดียวแต่เป็น module ที่จะทำให้ joomla แปลงร่างกลายมาเป็นเวปไซค์ e-commerce


ประโยชน์จากการใช้ LMS

     
        1.) ช่วยให้การจัดการเรียนการสอนเป็นรูปแบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
        2.) เป็นการสร้างคลังความรู้ เนื่องจากผู้สอนและผู้เรียนสามารถนำความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน มาแลกเปลี่ยนกันได้ในระบบฯ
        3.) ลดช่องว่างระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนกล้าแสดงความคิดมากขึ้น
        4.) เพิ่มโอกาสทางการศึกษา ให้ผู้เรียนสามารถศึกษาบทเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านระบบเครือข่าย Internet
        5.) ช่วยให้ผู้สอนรับรู้สถิติข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อมูลสถิติการทำแบบทดสอบวัดความรู้ หรือข้อมูลความสนใจของเด็กต่อเรื่องที่ศึกษา
        6.) ลดจำนวนเอกสารที่เป็น Hard Copy ลงได้จำนวนมาก
        7.)    … ฯลฯ

ประโยชน์ของ LCMS


•LCMS ช่วยให้สามารถเรียนรู้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากเนื้อหาออเป็นส่วนย่อยๆ อย่าง Learning object แล้วนำมาประกอบขึ้นใหม่เป็นเนื้อหาเหมาะสมกับความต้องการ ของผู้เรียนแต่ละบุคคล กล่าวคือส่งความรู้ในปริมาณที่เพียงพอให้ถูกบุคคลทันเวลาเหมาะสมกับการใช้ งาน ก็คือ การทำงานของระบบจัดการเนื้อหาการเรียนรู้
จาก CMS ถึง LMS และ LCMS


สรุป

•LCMS ช่วยให้สามารถเรียนรู้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากเนื้อหาออเป็นส่วนย่อยๆ อย่าง Learning object แล้วนำมาประกอบขึ้นใหม่เป็นเนื้อหาเหมาะสมกับความต้องการ ของผู้เรียนแต่ละบุคคล กล่าวคือส่งความรู้ในปริมาณที่เพียงพอให้ถูกบุคคลทันเวลาเหมาะสมกับการใช้ งาน ก็คือ การทำงานของระบบจัดการเนื้อหาการเรียนรู้
จาก CMS ถึง LMS และ LCMS

ทำความรู้จัก Open source กับ CMS กันมาพอ สมควรแล้ว วันนี้มาทักทายกับเจ้า LMS และ LCMS กันอีกนิดก็ แล้วกันนะคะ (โอย...อะไร มันจะมากมายขนาดนี้) อย่าเพิ่ง เบื่อกันไปก่อนนะคะ เพราะเจ้า พวกนี้นี่แหละ ที่จะทำให้เราเรียนรู้ได้ง่ายและสะดวกสบายขึ้น

LMS ย่อมาจาก Learning Management System เป็นระบบที่ ใช้บริหารจัดการการเรียนรู้ที่อำนวยความสะดวกในการจัดกลุ่มเนื้อหาและ กิจกรรมการเรียนรู้ การสื่อสารโต้ตอบระหว่างผู้สอน (Instructor/Teacher) กับผู้ เรียน(Student) รวมทั้งการ สร้างแบบทดสอบ การทดสอบและการประเมินผลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยโปรแกรมที่ใช้สร้างระบบ LMS ในปัจจุบัน



ประเภทของ CMS

1.  เว็บท่า

    ผู้คนมักจะสับสนว่า เว็บท่า หรือ พอร์ทัล (portal) คือระบบจัดการเนื้อหาของเว็บ แต่จริงๆแล้ว เว็บท่าเป็น CMS ประเภทที่รวมระบบจัดการเนื้อหาเว็บที่เน้นการทำเว็บทั่วไปเป็นหลัก โดยที่ผู้ใช้ระบบเว็บท่าสามารถปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัยได้อย่างง่ายดาย แทนที่จะใช้โปรแกรมออกแบบหน้าตาเว็บอื่น ๆ เช่น ดรีมวีฟเวอร์ โกไลฟ์ หรือไมโครซอฟท์ ฟรอนท์เพจ ที่มีเนื้อหาแบบนิ่ง นอกจากนี้ ยังมีโมดูล หรือคอมโพเนนท์หลากหลายไว้เสริมความสามารถของเว็บท่าอีกด้วย
    ตัวอย่างของ โปรแกรมเว็บท่าที่เป็นที่นิยมในประเทศไทย ได้แก่ Mambo (CMS) Joomla! PhpNuke Postnuke

      2. บล็อก
บล็อก หรือ blog ย่อมาจาก weblog เป็นระบบที่ให้ผู้ใช้สมัครเป็นสมาชิก และได้พื้นที่บล็อกตามที่กำหนด จากนั้นสมาชิกจะสามารถปรับปรุงเนื้อหาในบล็อกของตนได้อย่างง่ายดาย กำลังเป็นที่นิยมของวัยรุ่นในขณะนี้สำหรับเขียนไดอารี่ส่วนตัว เป็นต้น
    ตัวอย่างของโปรแกรมบล็อก ได้แก่ Wordpress

      3. อี-คอมเมิร์ซ
    เป็นโปรแกรมสำหรับบริหารจัดการ การขายสินค้าบนอินเทอร์เน็ต มีหน้าร้านสำหรับแสดงสินค้า ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าที่ต้องการใส่ตะกร้า และจ่ายเงินได้ภายหลังผ่านทางบัตรเครดิตเป็นต้น
    ตัวอย่างของโปรแกรมอี-คอมเมิซ ได้แก่ PhpShop, osCommerce และ Zen cart (ที่พัฒนาจาก osCommerce)

     4. อี-เลิร์นนิง
    เรียกอีกอย่างว่า LMS หรือ ระบบจัดการเนื้อหาเพื่อการเรียนการสอน สามารถอัปโหลดเนื้อหาของรายวิชาขึ้นระบบได้ ให้ผู้ที่เป็นสมาชิกสามารถเข้ามาดูเนื้อหาได้
    ตัวอย่างของโปรแกรมอี-เลิร์นนิง ที่เป็นที่นิยมในประเทศไทย ได้แก่ Moodle ATutor Blackboard WebCT

     5. แกลลอรีภาพ
เป็นโปรแกรมบริหาร จัดการที่เน้นการแสดงภาพเป็นหลัก ผู้ใช้สามารถอัปโหลดภาพขึ้นระบบเพื่อแสดงผลได้
    ตัวอย่างของโปรแกรมแกลลอรีภาพ ที่เป็นที่นิยมในประเทศไทย ได้แก่ Coppermine

     6.  กรุ๊ปแวร์
    เป็นโปรแกรมสำหรับการประสานงานร่วมกันผ่านระบบเครือข่าย มีฟังก์ชันการทำงานสนับสนุนการทำงานร่วมกันของทีมงาน เช่นปฏิทินนัดหมาย อีเมล กลุ่มผู้ทำงาน การบริหารโครงการ การแลกเปลี่ยนไฟล์เอกสาร เป็นต้น โดยทั่วไปแล้ว สามารถรองรับการทำงานในสำนักงานทั่วๆไปได้ถึงร้อยละ 80
    ตัวอย่างของโปรแกรมกรุปแวร์ ที่เป็นที่นิยมในประเทศไทย ได้แก่ dotProject eGroupware MoreGroupware phpCollab phpProjekt

    7. วิกิ
    เป็นระบบบริหารจัดการเนื้อหาเว็บที่มีแนวความคิดใหม่ โดยเปิดกว้างให้ทั้งผู้ที่เป็นสมาชิกและไม่เป็นสมาชิกสามารถแก้ไขเนื้อหาได้ แทบจะทุกส่วนของเว็บ
    ตัวอย่างของโปรแกรมวิกิ ที่เป็นที่นิยมในประเทศไทย ได้แก่ มีเดียวิกิ Docuwiki

      8 กระดานข่าว
    กระดานข่าว เป็นสถานที่แปะข้อความกระทู้ ในผู้ที่เป็นสมาชิก หรือบุคคลทั่วไปสามารถแสดงความเห็นในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องได้ เป็นที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากทำให้เกิดชุมชนของผู้ที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน สามารถมาพูดคุยแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นกันได้
    ตัวอย่างของโปรแกรมกระดานข่าว ที่เป็นที่นิยมในประเทศไทย ได้แก่ PhpBB FudForum Invision Power Board vBulletin

       9. ไลท์
    เป็นโปรแกรมบริหารจัดงานเนื้อหาเว็บที่เปรียบเสมือนโมดูลย่อยๆ โมดูลเดียวของเว็บท่า เน้นที่การบำรุงรักษาง่าย สามารถลงระบบได้โดยไม่ต้องใช้ฐานข้อมูล แต่เก็บข้อมูลเป็นไฟล์อักขระธรรมดา
    ตัวอย่างของโปรแกรมไลท์ เช่น phpFreeNews Limbo

       10. อื่น ๆตัวอย่างของโปรแกรมระบบจัดการเนื้อหาเว็บอื่นๆ เช่น ระบบบริหารจัดการองค์ความรู้ ปฏิทินออนไลน์ เป็นต้น


ประเภท LMS

 1. อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ได้อย่างเสรี (Free Redistribution) ไลเซนต์จะต้องไม่จำกัดในการขาย หรือแจกจ่ายให้กับผู้อื่น โดยไม่มีการบังคับว่าต้องจ่ายค่าธรรมเนียม (Royalty Fee) ให้กับเจ้าของซอฟต์แวร์ต้นฉบับ
          2. ให้มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ต้นฉบับ (Source Code) โปรแกรมต้องให้มาพร้อมกับ Source Code หรือถ้าไม่ได้ให้มาพร้อมโปรแกรมจะต้องมีช่องทางที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถเข้า ถึง Source Code ได้โดยไม่มีการคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และ Source Code ที่ให้มาจะต้องอยู่ในรูปแบบที่นำไปปรับปรุงแก้ไขได้
          3. อนุญาตให้สร้างซอฟต์แวร์ใหม่โดยต่อยอดจากซอฟต์แวร์ต้นฉบับ (Derived Works) ไลเซนต์ของซอฟต์แวร์ต้องอนุญาตให้สามารถนำไปปรับปรุงแก้ไข และสร้างซอฟต์แวร์ใหม่ โดยซอฟต์แวร์ตัวใหม่จะต้องมีไลเซนต์เช่นเดียวกับซอฟต์แวร์ต้นฉบับ
          4. ต้องไม่แบ่งแยกผู้พัฒนาออกจากซอฟต์แวร์ต้นฉบับ (Integrity of the Author's Source Code) ไลเซนต์อาจจะไม่ได้ให้ไปพร้อมซอสโค้ดในรูปแบบที่สามารถแก้ไขได้ ในกรณีที่มีการกำหนดว่าจะให้ซอร์สโค้ดเฉพาะส่วนที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม (patch files) เพื่อใช้ในการคอมไพล์โปรแกรมเท่านั้น ไลเซนต์ใหม่จะต้องกำหนดให้ชัดว่าสามารถแจกจ่ายได้หลังจากแก้ไขซอร์สโค้ดแล้ว โดยไลเซนต์ใหม่อาจจะต้องทำการเปลี่ยนชื่อ หรือเวอร์ชั่นให้แตกต่างจากซอฟต์แวร์ต้นฉบับ
          5. จะต้องไม่เลือกปฏิบัติเพื่อกีดกันบุคคล หรือกลุ่มบุคคล (No Discrimination Against Persons or Groups) ไลเซนต์จะต้องไม่เลือกปฏิบัตเพื่อกีดกันการเข้าถึงซอฟต์แวร์ของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
          6. จะต้องไม่จำกัดการใช้เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น (No Discrimination Against Field of Endeavor) ไลเซนต์จะต้องไม่จำกัดการใช้สำหรับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น จะต้องไม่จำกัดการใช้งานเฉพาะในเชิงธุรกิจ หรือในการทำวิจัยเท่านั้น
          7. การเผยแพร่ไลเซนต์ (Distribution of License) สิทธิ์ที่ให้ไปกับโปรแกรมจะต้องถูกบังคับใช้กับทุกคนที่ได้รับโปรแกรมเท่า เทียมกัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ไลเซนต์อื่นๆ ประกอบ
          8. ไลเซนตของซอฟต์แวร์จะต้องไม่ขึ้นกับไลเซนต์ของผลิตภัณฑ์ (License Must Not be Specific to a Product) หมายความว่า ถ้าซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สถูกนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ ไลเซนต์ของซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สจะต้องไม่ต้องไม่ขึ้นอยู่กับซอฟต์แวร์ใด ซอฟต์แวร์หนึ่งในผลิตภัณฑ์ตัวนั้น
          9. ไลเซนต์ของซอฟต์แวร์จะต้องไม่จำกัดไลเซนต์ของซอฟต์แวร์อื่น (License Must Not Restrict Other Software) ไลเซนต์ของซอฟต์แวร์ที่รวมในมีเดียเดียวกันจะต้องไม่ถูกบังคับให้เป็นโอ เพ่นซอร์สซอฟต์แวร์ด้วย
          10. ไลเซนต์จะต้องไม่ผูกติดกับเทคโนโลยี (License Must Be Technology-Neatral)

ออฟไลน์ FrankJScott

  • นักศึกษา
  • ****
  • กระทู้: 176
  • สวัสดี
    • ดูรายละเอียด
Updated Product Info
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: วันที่ 04 พฤศจิกายน 2023, 08:43:16 »
Please try Google before asking about Top Rated Product Tips 4242553