• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

พืชพรรณต่างๆ มีภาพประกอบ และจัดเป็นหมวดหมู่ตามลักษณะวิสัย ค้นหาได้ง่าย

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - นางสาวรณวี สิมาวัน

#1
คอมพิวเตอร์กราฟิกพรรณไม้ / ดอกบานชื่น
25 มิถุนายน 2013, 14:22:23 หลังเที่ยง
บานชื่น
ชื่อ นางสาวรณวี สิมาวัน
ชั้น ม.5/1 เลขที่ 13
#2
ไม้พุ่ม / กรรณิการ์ 7-34190-001-195
22 มิถุนายน 2013, 14:14:01 หลังเที่ยง
7-34190-001-195    กรรณิการ์
•   ชื่อวิทยาศาสตร์: Nyctanthes arbortristis Linn.
•   ชื่อสามัญ: กรรณิการ์ (อังกฤษ: Night blooming jasmin - มะลิบานราตรี)
•   ชื่อพื้นเมืองอื่น ๆ:
•   ประเภท: ไม้พุ่มยืนต้นขนาดกลาง

•   ลักษณะ:
ต้น: สูงประมาณ 3 - 4 เมตร ตามลำต้นจะมีรอยเป็นเส้นคาดรอยต้นเป็นช่วงๆ ไปตามข้อต้น เปลือกของลำต้นนั้นมีสีขาว ลักษณะของลำต้นและกิ่งก้านโดยเฉพาะส่วนที่เป็นแขนงและกิ่งอ่อนจะเป็นสี่เหลี่ยม บริเวณแนวสันเหลี่ยมของกิ่งหรือลำต้นมีตุ่มเล็ก ๆ ประเป็นแนวอยู่ด้วย
ใบ: เป็นไม้ใบเดี่ยวแต่ออกเป็นคู่ๆ สลับกันไปตามข้อของต้น มีรูปมนรี ปลายใบแหลม มีสีเขียวและมีขนอ่อนๆ เป็นละอองปกคลุมอยู่ทั่วใบ มีลักษณะสากคายมือ
ดอก: ดอกสีขาว ออกเป็นช่อดอกเล็ก ๆ กระจายที่ปลายกิ่ง ประมาณช่อละ 5 - 8 ดอก ดอกมี 6 กลีบ กลีบดอกจะบิดเวียนไปทางขวาคล้ายกังหัน วงในดอกเป็นสีแสด หลอดดอกเป็นสีแสด เกสรเป็นเส้นเล็กละเอียดซ้อนอยู่ในหลอดดอก ขนาดของดอกบานเต็มที่ประมาณ 1.50 - 2 เซนติเมตร หลอดดอกยาว 1.50 เซนติเมตร ปลายแยกเป็น 5 - 8 แฉก ก้านช่อดอกมีใบประดับเล็กๆ 1 คู่ ดอกของกรรณิการ์มีกลิ่นหอมแรง บานกลางคืน ออกดอกตลอดปี
ผล: เป็นแผ่นแบนๆ ภายในมีเมล็ด 2 เมล็ด
ประโยชน์: ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้หลายชนิด ก้านดอกสามารถนำมาทำเป็นสีย้อมผ้าจีวรพระ หรือสีทำขนม
#3
ไม้ต้น / กระทิง 7-34190-001-194
22 มิถุนายน 2013, 14:11:54 หลังเที่ยง
กระทิง 7-34190-001-194
ชื่อวิทยาศาสตร์:Calphyllum inophyllum L.
ชื่อวงศ์ CLUSIACEAE
ชื่อสามัญ(Common Name ):Alexandrian Laurel, Indian Laurel
ชื่ออื่นๆ ( Other Name ):กากะทิง(ภาคกลาง) ทิง(กระบี่) เนาวกาน(น่าน) สารภีทะเล(ประจวบคีรีขันธ์)
ลักษณะทั่วไป
        ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 6-20 เมตร เรือนยอดแผ่กว้างเป็นพุ่มกลมแน่นทึบ ลำต้นมักคดงอ
เปลือกสีน้ำตาลปนเทาค่อนข้างเรียบ ทุกส่วนมียางสีเหลืองอมเขียว
   ใบ   เป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปรีแกมรูปไข่กลับ กว้าง 4-6 เซนติเมตร ปลายใบกลมหรือเว้าเล็กน้อย
โคนใบสอบ ใบหนาแข็ง เส้นใบถี่และขนานกัน (ใบคล้ายสารภี แต่ใหญ่กว่า ใบเป็นมัน และเส้นใบขนานกัน
เห็นชัดกว่า)
   จุดเด่นของดอก        ช่อดอกสีขาว ออกที่ปลายกิ่งและซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อหนึ่งมี 6-10 ดอก
ก้านดอกสีขาวยาว 2-2.5 เซนติเมตร มีกลีบดอก 5-6 กลีบ รูปไข่ปลายแหลม กลีบดอกงองุ้มโค้งเข้าหากัน
มีเกสรเพศผู้สีเหลืองเข้มจำนวนมาก ช่วยเน้นให้ดอกมีสีเด่นชัดเจน ดอกบานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร
เมื่อใกล้โรยเกสรเพศผู้จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ดอกบานไม่พร้อมกัน ดอกตูมมักอยู่ที่ปลายช่อดอก เมื่อบานเต็ม
ที่กลีบดอกจะบานแผ่โค้งออก มีกลิ่นหอมออกดอกตลอดปี
   ผล   เป็นรูปกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร ผลอ่อนสีเขียวและเมื่อแก่สีน้ำตาล แห้ง ผิวย่น แต่ละผลมี1 เมล็ด
การขยายพันธุ์และปลูกเลี้ยง
    ขยายพันธุ์โดยเพาะเมล็ด จะได้ต้นกล้าที่มีความแข็งแรงและเจริญเติบโตได้ดี เป็นไม้ที่ทนต่อไอน้ำเค็ม
และลมทะเล จึงนิยมปลูกตามบ้านพักริมทะเล
การใช้ประโยชน์
      ปลูกเป็นไม้ประดับโชว์ทรงพุ่ม ไม้ให้ร่มเงาตามริมถนนและในแปลงกลางแจ้งทั่วไปมีดอกหอม
#4
ไม้พุ่ม / หม่อนบุรีรัมย์ 7-34190-001-193
22 มิถุนายน 2013, 14:09:31 หลังเที่ยง
หม่อนบุรีรัมย์ 7-34190-001-193
7-34190-001-193    หม่อนบุรีรัมย์ 60 (บร. 60) เป็นหม่อนที่ให้ดอกตัวเมีย ลำต้นตั้ง ตรง หลังจากมีการตัดแต่งแล้วสามารถ
แตกกิ่งได้เร็ว กิ่งมีสีน้ำตาล ใบไม่แฉก ผิวใบเรียบ ใบใหญ่หนา อ่อนนุ่ม ให้ผลผลิตดี ในสภาพที่มีน้ำ เป็นหม่อนพันธุ์ลูกผสม ให้ผลผลิตประมาณ 4,300 กิโลกรัม/ไร่/ปี ขยายพันธุ์โดยการปักชำ
หม่อน (Mulberry: Morus alba Linn.)
ชื่อสามัญ White mulberry; Mullberry tree;
วงศ์ : MORACEAE

ลักษณะของต้นหม่อน
    หม่อนเป็นพืชยืนต้นประเภทไม้พุ่ม  เนื้ออ่อน   เจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อน  และเขตอบอุ่น  ปลายใบแหลม  ขอบใบอาจหยักเว้ามากคล้ายใบมะละกอ   หรือหยักน้อยคล้ายใบโพธิ์   บางชนิดมีขนเล็กใต้ใบ   ลำต้นมีลักษณะกลม  ผิวลำต้นเรียบ  ไม่มีหนาม  มียางสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม   บางพันธุ์ติดผลดกและโต  รับประ-ทานได้คล้ายผลสตรอว์เบอร์รี    ซึ่งพันธุ์ที่กล่าวนี้มักไม่นิยมใช้ใบเลี้ยงไหม  เพราะใบแข็งกระด้าง ไหมไม่ชอบกิน   ต้นหม่อนที่ได้รับการบำรุงรักษาโดยถูกต้องอาจมีอายุยืนให้ปริมาณใบมากถึง  ๒๕ ปี   ในสมัยโบราณหม่อนเป็นพืชที่ขึ้นได้เองตามธรรม-ชาติ  แต่เมื่อเลี้ยงไหมกันมากขึ้นต้องนำมาปลูกเพื่อให้ได้ใบมากพอแก่ความต้องการ
ส่วนที่ใช้และสรรพคุณ
ใบ, : ฝาดขมเล็กน้อย ต้มดื่มต่างน้ำชา แก้ไข้ตัวร้อน กระหายน้ำ แก้ไอ เจ็บคอ ระงับประสาท ต้มเอาน้ำล้างตาแก้ตาแดง ตาแฉะ ตาฝ้าฟาง ลดน้ำตาลในเลือด บำรุงผิว แก้อาการปวดศีรษะ ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต
#5
ไม้ต้น / เพกา 7-34190-001-192
22 มิถุนายน 2013, 14:06:01 หลังเที่ยง
7-34190-001-192  เพกา
ชื่อท้องถิ่น ดอก๊ะ ด๊อกก๊ะ ดุแก (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) เบโด (มาเลเซีย-นราธิวาส) มิลิดไม้ มะลิ้นไม้ (เหนือ) ลิ้นฟ้า (เลย)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Oroxylum indicum(L.) Kurz
วงศ์ BIGNONIACEAE
ชื่อสามัญ
ลักษณะเป็นไม้ยืนต้น
สูง 3-12 เมตร แตกกิ่งก้านน้อย เปลือก เรียบสีเทาบางทีแตกเป็นรอยตื้นๆ เล็กน้อย ใบ ประกอบแบบขนนกสามชั้น ขนาดใหญ่เรียงตรงข้ามรวมกันอยู่บริเวณปลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่หรือรูปไข่แกมวงรี กว้าง 4-8 ซม. ยาว 6-12 ซม. ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอดก้านช่อดอกยาว ดอกย่อยขนาดใหญ่กลีบดอกสีนวลแกมเขียว โคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดง หนาย่น บานกลางคืน ผล เป็นฝัก รูปดาบ เมื่อแก่จะแตก ภายในเมล็ดแบนสีขาว มีปีกบางโปร่งแสง
ส่วนที่ใช้เป็นยาเมล็ดแห้ง ราก ฝักอ่อน เปลือกต้นเพกา
สรรพคุณทางยา
และวิธีใช้แก้ท้องร่วง : ใช้ราก เพกา ต้มกับน้ำ 3-4 แก้ว ต้มให้เหลือ 2 แก้ว ใช้ดื่ม
    แก้ไอ ขับเสมหะ : ใช้เมล็ดแห้ง 1/2-3 กำมือ หนัก 1.5-3 กรัม ต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว ใช้ไฟอ่อน ๆ เคี่ยวนาน 1 ชั่วโมง ดื่มแต่น้ำครั้งละ 1/3 แก้ว วันละ 3 ครั้ง
    แก้แผลน้ำร้อนลวก : ใช้เปลือกเพกาฝนกับน้ำปูนใส ทาบริเวณที่โดนน้ำร้อนลวกเป็นประจำ
    แก้ฝี ผดผื่นคัน : ใช้เปลือกสด ๆ ฝนกับน้ำปูนใสทาบริเวณที่เป็น หรือ ใช้เปลือกสดมาตำผสมเหล้าขาว พ่นบริเวณที่เป็น
เปลือกต้น รสฝาด เย็น และขมเล็กน้อย สรรพคุณฝาดสมาน รักษาน้ำเหลืองให้ปกติ ดับพิษโลหิต ขับลมในลำไส้ แก้ท้องร่วง แก้บิด ขับเสมหะ บำรุงโลหิต
รากเพกา สรรพคุณบำรุงธาตุ กระตุ้นน้ำย่อย แก้ท้องร่วง แก้อักเสบฟกบวม
ฝักอ่อน สรรพคุณขับผายลม
เมล็ดแก่ สรรพคุณช่วยระบาย
#6
ไม้ล้มลุก / กระชายแดง 7-34190-001-191
22 มิถุนายน 2013, 14:03:09 หลังเที่ยง
กระชายแดง 7-34190-001-191
ชื่ออื่น ขิงแคลง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Boesenbergia Sp.
วงศ์ ZINGIBERACEAE
ประเภทไม้   ไม้ล้มลุก (เหง้า-หัว)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น ไม้ล้มลุกอายุหลายปีมีเหง้าอยู่ใต้ดิน รากสะสมอาหารลักษณะเป็นแท่งกลมเรียวยาว พองตรงกลางฉ่ำน้ำ สีน้ำตาลอ่อนมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่รุนแรงเหมือนกระชายในฤดูฝน จะแตกยอดขึ้นเหนือพื้นดินและอาจเกิดได้ตลอดปีหากดินมีความชื้น มีกาบใบซ้อนกันหลายชั้นสีน้ำตาลแดง ความสูงของทรงพุ่มประมาณ 30-40 ซม.
ใบ ใบเดียวเรียงสลับ รูปไข่ค่อนข้างยาว ขอบใบขนาน กว้าง 4-8 ซม. ยาว 15-30 ซม. เส้นกลางใบเป็นช่องลึก แผ่นใบเรียบสีเขียวเป็นมัน
ดอก เป็นดอกช่อออกแทรกอยู่ระหว่างกาบใบโคนต้น กลีบดอกสีชมพูอ่อนดอกย่อยทยอยบานที่ละดอก ผลแก่มี 3 พู มีเมล็ดอยู่ภายใน
การปรุงอาหาร หน่ออ่อน ใช้ปรุงรสน้ำยาขนมจีน และบริโภคเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริก
ส่วนที่ใช้เป็นอาหารและยาในประเทศไทยคือเหง้าใต้ดินและราก  ในประเทศจีนมีรายงานการใช้กระชายเป็นยา  ในประเทศเวียดนามใช้กระชายในการปรุงอาหาร  ในประเทศไทยมีพืชที่เรียกว่ากระชายอยู่ 3 ชนิด คือกระชาย (เหลือง) กระชายแดง และกระชายดำ   ภูมิปัญญาไทยใช้รากกระชายบำบัดอาการอีดี โดยกินทั้งราก เนื่องจากในรากกระชายมีสารที่ออกฤทธิ์คลายการหดตัวของผนังหลอดเลือดในกลุ่มยารักษาอีดี กลุ่มที่ 3 จึงเห็นว่าเป็นการใช้งานที่ไม่ขัดกับข้อมูลจากวงการแพทย์ และเนื่องจากกระชายเป็นพืชอาหารของไทย ไม่พบรายงานความเป็นพิษเมื่อบริโภคในระดับที่เป็นอาหาร (พร้อมจิต  ศรลัมและคนอื่นๆ,2532)
#7
ไม้ต้น / ไทรด่าง รหัส 7-34190-001-455
22 มิถุนายน 2013, 13:45:45 หลังเที่ยง
ไทรด่าง รหัส 7-34190-001-455
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ficus benjamina L. var. variegata
ชื่อวงศ์ : MORACEAE
ชื่อสามัญ : Gogen fig.

ชื่อพื้นบ้าน : ไทรย้อยใบแหลมด่าง จาเรย

ลักษณะทั่วไป : ใบเป็นรูปไข่ มีสีเขียวแกมเหลืองหรือเหลืองออกขาว นิยมปลูกเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ ลำต้นมีสีเทา ขึ้นได้ดีในดินร่วน ชอบแสงปานกลาง แสงมาก ชอบความชื้น

ประโยชน์ : ปลูกเป็นไม้ประดับ

การขยายพันธุ์ : โดยการปักชำ การตอนกิ่ง
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=kwandao-9&date=06-07-2008&group=36&gblog=60

ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Ficus benjamina L. var. variegate

ชื่อวงศ์ :   MORACEAE

ชื่อสามัญ : Gogen fig.

ลักษณะวิสัย : ไม้ต้น ไม้ประดับ

การเป็นมงคล
         คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นไทรไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความร่มเย็น เพราะคนโบราณได้กล่าวว่า ร่มโพธิ์ร่มไทรช่วยทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขนอกจากนี้ยังช่วยคุ้มครอง ป้องกันภัยอันตรายทั้งปวงเพราะ บางคนเชื่อว่าต้นไทรเป็นต้นไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีเทพารักษ์อาศัยอยู่คอย คุ้มครองพิทักษ์ปวงชนให้มีความอยู่เย็นเป็นสุข

การปลูก
1. การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนโบราณนิยมปลูกไว้เพื่อ ประดับบริเวณสวนเพราะเป็นไม้ที่มีการแตกกิ่งก้าน     
สาขาที่กว้างใหญ่ ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร  ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 2 ผสมดินปลูก

2. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายในและภายนอกอาคาร ควรใช้กระถางทรงสูงขนาด 12-18 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก :แกลบผุ:ดินร่วนอัตรา 1:1:1ผสมดินปลูกควรเปลี่ยนกระถาง1-  2 ปี/ครั้งหรือ แล้วแต่ความเหมาะสมของทรงพุ่มทั้งนี้ก็เพราะ
การเจริญเติบโตของทรงพุ่มโตขึ้นและ  เพื่อต้องการเปลี่ยนดินปลูกใหม่ทดแทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไปการปลูกทั้ง2วิธี 
ดังกล่าวสามารถตัดแต่งและบังคับรูปทรงของทรงพุ่ม ได้ตามความต้องการผู้ปลูกนอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ด้วยว่าพันธุ์     
ด้วยว่าพันธุ์ใดจะเหมาะสมกับวิธีการปลูกแบบใด ตามวัตถุประสงค์ผู้ปลูก
ไทรด่างเป็นไม้ต้น ไม่ผลัดใบ  ขนาดใหญ่   สูงได้ถึง 20 เมตร  รัดพันไม้อื่น  มียางสีครีม หรือสีเหลืองอ่อน  ใบ แก่เหนียว เรียบเกลี้ยง  ก้านใบมีรากเล็กน้อย  กิ่งก้านเรียวเล็ก   ผล ออกแบบมะเดื่อ ออกเดี่ยวหรือคู่  การขยายพันธุ์  เพาะเมล็ด  แยกต้น  ประโยชน์ เป็นไม้ประดับ

ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Ficus benjamina L. var. variegate

ชื่อวงศ์ :   MORACEAE

ชื่อสามัญ : Gogen fig.

ลักษณะวิสัย : ไม้ต้น ไม้ประดับ
ลักษณะทั่วไป
        ใบเป็นรูปไข่ มีสีเขียวแกมเหลืองหรือเหลืองออกขาวนิยมปลูกเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ ลำต้นมีสีเทา ขึ้นได้ดีในดินร่วน ชอบแสงปานกลาง แสงมากชอบความชื้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ทรงพุ่มหนาทึบ ใบรูปไข่ปลายใบแหลม ฐานใบเรียวสอบเข้าหาก้านใบ ก้านใบค่อนข้างสั้น พื้นใบมีมีสีเขียวอมเทา ด่างขาวบริเวณขอบใบทั้งสองด้านรวมทั้งตามผิวบางส่วน
การขยายพันธุ์: โดยการปักชำ   การตอนกิ่ง
#8
ไม้พุ่ม / หน้าวัว รหัส 7-34190-001-454
22 มิถุนายน 2013, 13:42:03 หลังเที่ยง
หน้าวัว รหัส 7-34190-001-454
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Anthurium spp.

วงศ์ : Araceae

ชื่อสามัญ : Anthurium

ชื่ออื่น ๆ : Flamingo flower, Pigg-tail flower, หน้าวัว

ข้อมูลทั่วไปและประวัติ :  หน้าวัวเข้ามาในประเทศไทยครั้งแรกในปี พ.ศ. 2440   หน้าวัวเป็นไม้ดอกที่มีความสำคัญ ตลาดต้องการมากใช้ดอกในการตบแต่งหรือปลูกเป็นไม้ประดับในร่ม
เป็นไม้ที่เลี้ยงง่ายมาก สามารถออกดอกได้ตลอดปี
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : หน้าวัวเป็นไม้ค่อนข้างไปทางไม้เลื้อย เนื้ออ่อนการเจริญมีลักษณะเป็นกอต้นจะโตสูงทิ้งใบล่าง สูงได้ 80-100 ซม.ใบมีลักษณะเป็นรูปร่างต่าง ๆกัน แต่ส่วนมากมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ ใบของหน้าวัวบางชนิดมีใบสวยงามมาก ลักษณะคล้ายกำมะหยี่ละเอียดเป็นมัน ปลายใบแหลม บริเวณใต้ใบเส้นใบนูนเป็นสันขึ้นมา ต้นหนึ่งมีใบ4-8 ใบ  เมื่อมีใบใหม่จะมีดอกเกิดขึ้นตามมาเสมอ ดอกหน้าวัวเกิดจากตาที่อยู่เหนือก้านใบ โดยทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าจานรองดอกคือตัวดอก ตัวดอกที่แท้จริงนั้นมีขนาดเล็กเรียงกันอยู่บนปลีซึ่งเป็นส่วนของก้านดอก ดอกแต่ละดอกจะมีทั้งเกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย แต่จะบานไม่พร้อมกัน เกสรตัวเมียจะบานก่อน
การปลูกและการดูแลรักษา : การปลูกหน้าวัวจะต่างจากไม้ดอกชนิดอื่น วิธีปลูกควรปลูกในกระถาง โดยรองอิฐที่รูระบายน้ำก้นกระถางแล้วใส่เครื่องปลูกประมาณ 1/5 ของความสูงกระถาง แล้วนำต้นหน้าวัววางบนเครื่องปลูก จากนั้นจึงเติมเครึ่องปลูกรอบ ๆ โคนต้น ยึดลำต้นให้แน่นอย่าให้ต้นคลอนแคลน และอย่าใส่เครื่องปลูกจนกระทั่งทับยอดหน้าวัว เพราะจะทำให้ยอดเน่า เมื่อต้นเจริญเติบโต ใบล่างจะร่วงหล่นไป ลำต้นจะสูงพ้นเครื่องปลูกส่วนรากจะเกิดออกจากลำต้นใต้ใบเสมอ ทำให้รากเจริญเหนือเครื่องปลูกขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงควรเติมเครื่องปลูกให้เครื่องปลูกอยู่ต่ำกว่ายอดเล็กน้อยเสมอ  หน้าวัวต้องการความชื้นในอากาศสูง ควรรดน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งแต่ถ้าวันไหนร้อนจัดควรรดเพิ่มเป็น 3 ครั้งต่อวัน ในวันที่อากาศร้อนจัดมากๆ ควรทำการพรางแสง มิฉะนั้นใบและต้นหน้าวัวจะไหม้และชะงักการเจริญเติบโต
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6/BotanicalGarden/anthurium.html
ชื่อสามัญ     Anthurium
ชื่อวิทยาศาสตร์     Anthurium andraeanum
ตระกูล    Araceae (arum)
ถิ่นกำเนิด      โคลัมเบีย
     
ลักษณะทั่วไป
      หน้าวัวเป็นไม้พุ่มเตี้ยใช้ปลูกคลุมดิน มีอายุหลายปี เติบโตเป็นต้นเดี่ยวหรืแตกกอ ลำต้นสั้นหรืยืดยาวคล้ายไม้เลื้อยและทิ้งใบช่วงล่างของต้นพร้อมทั้งเกิดรากใหม่ที่บริเวณ เป็นไม้ตัดดอกที่มีรูปร่างแปลกตา สีสันสดสวย ออกดอกได้ตลอดปี ใบของหน้าวัวมีแตกต่างกันไปหลายแบบ เช่น รูปหัวใจ รูปใบหอก รูปสามเหลี่ยม หรือใบประกอบแบบนิ้วมือใบแตกออกจากลำต้นเรียงเวียนสลับกัน ขนาดและสีต่างกันไปตามชนิดและพันธุ์ดอกของหน้าวัวเกิดจากตาดอกที่ซอกใบ ปกติตาดอกและใบอ่อนจะเกิดพร้อมกัน แต่ตาดอกจะพัฒนาขึ้นมาหลังจากใบแก่สมบูรณ์แล้ว ดังนั้นต้นที่โตเร็วจึงมักจะให้ดอกดก ดอกหน้าวัวมีสวนประกอบด้วยช่อดอกที่เรียกว่าปลี อาจมีสีขาว เหลืองหรือขาวปลายสีเหลือง และจานลองดอกหรือที่เรียกว่าดอกนั้นเองจานลองดอกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าใบประดับ มีลักษณะคล้ายใบติดที่โคนปลีหน้าวัวที่มีดอกสีสวยสะดุดตานี้ สีของจานรองดอกมีหลากสี เช่น ขาว เขียว ชมพู ส้ม แดงม่วง หรือมีหลายสีปนกัน อาจเรียบหรือย่นเป็นร่องชึ่งมีคำเรียกเฉพาะว่าร่องน้ำตาซึ่งอาจตื้นลึกต่างกันไปตามพันธุ์
     
การขยายพันธ์
การเพาะเมล็ด
         นิยมใช้เพื่อการปรับปรุงพันธุ์หรือ เพื่อผลิตลูกผสมที่มีลักษณะต่างไปจากพ่อ-แม่พันธุ์เท่านั้น ซึ่งอาจใช้เวลานานถึง 3 ปี ต้นจึงจะให้ดอก การเพาะเมล็ดพันธุ์ควรทำทันทีหลังจาก เก็บผล เพราะเมล็ดหน้าวัว สูญเสียความงอกเร็วมาก


การตัดชำยอด
        จะทำเมื่อต้นมีความสูงกว่าวัสดุ ปลูกเกิน 60 เซนติเมตร โดยตัดยอดให้ใบติดอยู่ 3 - 5 ใบ และมีราก2 - 3 ราก ทาแผลที่เกิดจากรอยตัดด้วยยาป้องกันการติดเชื้อ จากนั้นนำยอดไปปักชำในที่ร่มและมีความชื้นสูง เมื่อมียอดใหม่และรากงอกแล้วจึงย้ายไปปลูกตามปกติ

การแยกหน่อหรือตัดหน่อ
         นิยมทำหลังจากที่ตัดยอดชำแล้ว ต้นตอที่ถูกตัดยอดแล้วจะมีหน่อใหม่เกิดขึ้น สามารถตัดแยกหน่อไปปลูกได้ โดยหน่อนั้นควรเป็นหน่อที่มีขนาดใหญ่และมีราก 2 - 3 รากแล้ว

การปักชำต้น
        ใช้กับต้นขนาดใหญ่ที่มีอายุมากและ ถูกตัดยอดไปชำแล้ว โดยตัดต้นเป็นท่อน แต่ละท่อนให้มีข้อ 2 - 3 ข้อนำไปปักชำในทรายหรืออิฐทุบก้อนเล็กๆ ความชื้นสูง แต่ไม่แฉาะ ควรปักชำให้ยอดทำมุมประมาณ 30 - 40 องศา วิธีนี้ใช้เวลานานและต้นใหม่ที่ได้มักไม่แข็งแรงจึงไม่ค่อยนิยมกันนัก

กาเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
      เป็นวิธีที่ใช้เมื่อต้องการต้นจำนวนมากในระยะเวลาสั้น นิยมใช้กับพันธุ์ที่ผลิตเพื่อการค้า
     
การปลูก
       หน้าวัวจะเติบโตได้ดีในสภาพที่มี ความชื้นสูงแสงรำไรและมีลมพัดผ่านไม่แรงนักสิ่งแรกที่ควรคำนึงถึงคือปริมาณ แสง แดดที่ต้นได้รับเพราะแสงแดดมากเกินไปจะทำให้ใบเหลือง สีดอกซีดและเป็นรอยไหม้ แต่ถ้าได้รับแสงน้อยเกินไปจะทำให้ใบมีสีเขียวเข็ม ออกดอกน้อย ปริมาณแสงที่เหมาะสมคือประมาณ 20 - 30 % จะทำให้ต้นออกดอกดก คุณภาพดอกดี วัสดุปลูก ที่นิยมใช้กันมากคือ อิฐมอญทุบ ถ่านกาบมะพร้าว ใบไม้ผุ กะลาปาล์มน้ำมัน การปลูกในกระถางส่วนผสมของดินใช้ดินร่วน 2 สวน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 สวน ทรายหยาบ 1 สวน

การดูแล
        ถ้าปลูกในบ้านหรือาคารสำนักงานควร รดน้ำวันละ 2 ครั้งในต้อนเช้าและตอนเย็นส่วนในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาวชึ่งความชื้นใน อากาศมีน้อย ควรรดน้ำเพิ่มในช่วงบ่ายด้วย สวนการให้ปุ๋ยนิยมให้ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยเคมีละลายน้ำเช่น สูตร 10-10-30 , 17-34-17, 16-21-27 ฉีดพ่นทางใบหรือรดที่โคนต้นก็ได้อาจเสริมด้วยกระดูกป่นเล็กน้อย 2 - 3 ครั้งต่อเดือน
การปลูกเลี้ยงหน้าวัวให้ได้ต้นที่สมบูรณ์และให้ดอกสม่ำเสมอนั้นต้องมีการตัด แต่งต้นตัดใบและดอกที่แก่หรือเป็นโรคทิ้ง ไม่ควรปล่อยให้ต้นมีใบดกเกินไป เพราะจะทำให้การถ่ายเทอากาศบริเวณโคนต้นไม่ดี เป็นแหล่งสะสมโรคควรตัดใบให้เหลือ 3 - 4 ใบต่อยอดทุกปี
     

     โรคใบจุดหรือปลีจุด ระบาดมากในฤดูฝน เกิดจากเชื้อรา ทำให้ใบเป็นจุดแห้งหรือปลีเป็นสีน้ำตาล นิยมใช้มาเน็บ(manab) หรือคาร์เบนดาซิม (carbendazim) ฉีดพ่นเมื่อละบาด

     โรคใบไหม้ ระบาด มากในช่วงฤดูฝนเกิดจากเชื้อราทำให้ใบมีจุดสีเขียวหม่นลักษณะช้ำหรือไหม้อาจ ขยายเป็นแผลขนาดใหญ่จนเน่าแลและแห้งในที่สุด ทำลลายดอกและหน่ออ่อน ควรฉีดพ่นด้วยแคงเกอร์เอ๊กซ์หรือสเตรปสลับกับยาโคไซด์และโคแมกซ์

      โรครากเน่า จะเกิด เมื่อวัสดุปลูกระบายน้ำไม่ดีและไม่สะอาด เชื้อโรคจึงเข้าทำลายได้ง่าย เมื่อพบต้นที่แสดงอาการเป็นโรค ต้องนำไปเผาทำลายทิ้งเปลี่ยนวัสดุปลูกใหม่ หรือราดแปลงปลูกด้วยสารป้องกันกำจัดเชื้อรา

      โรคใบด่าง เกิดจากเชื้อไวรัส ทำให้ใบและดอกมีลักษณะหนาและด้าน มีขนาดเล็ก รูปทรงผิดธรรมชาติ เมื่อพบต้นเป็นโรค ต้องนำไปเผาทิ้งทำลายทันที
นอกจากนี้อาจพบแมลงศัตรูพวกเพลี้ยแป้ง เพลี้ยไฟ ไรขาว ไรแดง ซึ่งระบาดมากในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อนหนอนกินใบ แมงมุมหอยทาก หนู และกระรอก ที่มักทำความเสียหายให้กับดอกหน้าวัวมากควรหมั่นตรวจดูแอยู่เสมอ                                                     
#9
ไม้ล้มลุก / ผักบุ้งจีน รหัส 7-34190-001-453
22 มิถุนายน 2013, 13:38:08 หลังเที่ยง
ผักบุ้งจีน รหัส 7-34190-001-453
ผักบุ้งจีน Water Convolvulus
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ipomoea aguatica Forsk
ผักบุ้งจีน นิยมบริโภคส่วนของใบและลำต้น สามารถปลูกได้ง่าย การดูแลรักษาน้อย เจริญเติบโตได้เร็ว เป็นผักพื้นเมืองของทวีปเอเชียเขตร้อนต่างๆ ทั่วโลก

ลักษณะโดยทั่วไป
     ผักบุ้งจีนเป็นผักที่อายุยืนหลายปี สามารถปลูกได้ตลอดปี ชอบอากาศอบอุ่นและร้อน ปลูกได้ดีกับดินแทบทุกชนิด ผักบุ้งจีนเป็นผักที่มีอายุสั้นมาก ชอบดินที่มีความชื้นสูง ให้น้ำบ่อยๆ สม่ำเสมอเพียงพอ แต่ต้องได้รับแสงแดดเต็มที่
ผักบุ้งจีน มีชื่อสามัญที่ใช้เรียกแตกต่างกันไป ในภาษาอังกฤษว่า water convolvulus หรือ kang-kong เป็นพืชในตระกูล Convolvulaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ipomoea aquatica Forsk. Var. reptan มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อน พบได้ทั่วไปในอัฟริกา และเอเชียเขตร้อนจนถึงมาเลเซียและออสเตรเลีย
ราก ผักบุ้งจีนมีรากเป็นแบบรากแก้ว มีรากแขนง แตกออกทางด้านข้างของรากแก้ว และยังสามารถแตกรากฝอยออกมาจากข้อของลำต้นได้ด้วย โดยมักจะเกิดตามข้อที่อยู่แถว ๆ โคนเถา
ลำต้น ผักบุ้งจีนเป็นไม้ล้มลุก ในระยะแรกของการเจริญเติบโตจะมีลำต้นตั้งตรง ระยะต่อไปจะเลื้อยทอดยอดไปตามพื้นดินหรือน้ำ ลำต้นมีสีเขียว มีข้อและปล้องข้างในกลวง รากจะเกิดที่ข้อทุกข้อที่สัมผัสกับพื้นดินหรือน้ำ ที่ข้อมักมีตาแตกออกมา ทั้งตาใบและตาดอก โดยตาดอกจะอยู่ด้านใน ส่วนตาใบจะอยู่ด้านนอก
ใบ เป็นใบเดี่ยว มีขอบใบเรียบ รูปใบคล้ายหอกโคนใบกว้างค่อย ๆ เรียวเล็กไปตอนปลาย ปลายใบแหลม ที่โคนใบเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่น ใบมีความยาวประมาณ 7-15 เซนติเมตร ก้านใบยาว 3-8 เซนติเมตร
ดอกและช่อดอก ดอกเป็นดอกสมบูรณ์ มีลักษณะเป็นช่อ มีดอกตรงกลาง 1 ดอก และดอกด้านข้างอีก 2 ดอก โดยดอกกลางจะเจริญก่อน แต่ละดอกประกอบด้วยกลีบเลี้ยงสีเขียว 5 อัน กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวย ด้านนอกมีสีขาว ด้านในมีสีม่วง ในฤดูวันสั้น (วันละ 10-12 ชั่วโมง) จะออกดอกมีฝักและเมล็ด ในฤดูวันยาวจะเจริญเติบโตทางลำต้นและใบผักบุ้งจีนมีการผสมเกสรเป็นแบบผสมตัวเอง และมีการผสมข้ามดอกบ้างเนื่องจากลมและแมลง ดอกผักบุ้งจีนจะเริ่มบานในเวลาเช้า ละอองเกสรตัวผู้และยอดเกสรตัวเมียพร้อมที่จะผสมเวลา 10.00-15.00 น. ระยะเวลาหลังผสมจนผสมติดประมาณ 3-4 วัน และจากผสมติดจนเมล็ดแก่ประมาณ 40-50 วัน
ผล เป็นผลเดี่ยวรูปร่างค่อนข้างกลมมีขนาดใหญ่ที่สุดอายุประมาณ 30 วัน หลังดอกบาน มีเส้นผ่าศูนย์กลางเฉลี่ย 1.42 เซนติเมตร หลังจากนั้นจะมีขนาดเล็กลง ลักษณะผิวภายนอกเหี่ยวย่น ขรุขระ ไม่แตก เมื่อแห้งสีของผลเมื่อแก่จะมีสีน้ำตาลหรือน้ำตาลเข้ม ใน 1 ผลมีเมล็ด 4-5 เมล็ด
เมล็ด มีรูปร่างเป็นสามเหลี่ยมฐานมน มีสีน้ำตาล เปลือกหุ้มเมล็ดมีสี 3 ระดับ คือ สีน้ำตาลอ่อน สีน้ำตาลแก่ และสีน้ำตาลดำ มีขนาดเล็ก ความกว้างโดยเฉลี่ย 0.4 เซนติเมตร ยาว 0.5 เซนติเมตร ผักบุ้งจีนเป็นพืชที่มีอัตราการพักตัวสูง โดยจะพักตัวในลักษณะของเมล็ดแข็ง (hard seed) หรือที่เรียกว่าเมล็ดหิน จากการศึกษาพบว่าเมล็ดสีเข้มกว่าจะมีเปอร์เซนต์เมล็ดแข็งสูงกว่า

กบุ้งจีน มีชื่อภาษาอังกฤษว่า สแวมป์ แคบเบจ (Swamp Cabbage) ไชนิส แคบเบจ (Chinese Cabbage) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า อิปโพเมีย อะควอทิคา (Ippomoea aquatica Forssk.) จัดอยู่ในวงศ์ คอนวอลวัลลาซีอี้ (Convolvullaceae)

   ผักบุ้งจีน มีคุณค่าทางโภชนาการคือ ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต เส้นใย โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซี และมีสารต้านฮีสตามีน

   สรรพคุณของผักบุ้งจีนและวิธีการใช้ ผักบุ้งจีนสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้น โดยนำผักบุ้งจีนทั้งต้น มาต้มแล้วนำน้ำที่ได้มาดื่มใช้ถอนพิษ เบื่อเมา หรือนำผักบุ้งจีนทั้งต้นมาตำ แล้วใช้พอกหรือทาเพื่อดับพิษฝี แก้อักเสบ บวม ถอนพิษผิดสำแดงได้ ค่ะ

   ผักบุ้งไทยต้นขาว มีชื่อท้องถิ่นว่า ผักบุ้ง ผักบุ้งขาว ผักบุ้งไทย ผักทอดยอด และผักบุ้งแดง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า สแวมป์ แคบเบจ ไวท์ สเทม (Swamp Cabbage white stem) วอเตอร์ มอร์นิ่ง กลอรี (Water Morning glory) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า อิปโพเมีย อะควอทิคา (Ippomoea aquatica Forssk.) จัดอยู่ในวงศ์ คอนวอลวัลลาซีอี้ (Convolvullaceae)

   "ผักบุ้งไทยต้นขาว" มีคุณค่าทางโภชนาการคือ ประกอบด้วย โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เส้นใย พคตินวิตามินเอ (มากที่สุด) วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซี ไนอาซิน ฟอสฟอรัส แคลเซียมเหล็ก มีเบต้าแคโรทีนสูง และมีสารต้านฮีสตามีน

     สรรพคุณของผักบุ้งไทยต้นขาวและวิธีการใช้ ส่วนที่ใช้ประโยชน์ของผักบุ้งไทยต้นขาวคือ ดอก ใบ ทั้งต้น และราก ซึ่งแต่ละส่วนจะให้สรรพคุณแตกต่างกันดังต่อไปนี้
ดอก ใช้เป็นยาแก้กลากเกลื้อน ต้นสดใช้ดับพิษ รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ลดอาการแพ้ อักเสบ ปวด บวม บำรุงสายตา บำรุงเลือด บำรุงกระดูกและฟัน ช่วยรักษาโรคเบาหวาน เป็นยาดับร้อน แก้ปัสสาวะเหลือง
ทั้งต้น ใช้แก้โรคประสาท ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย แก้กลาก เกลื้อน แก้เบาหวาน แก้ตาอักเสบ บำรุงสายตา แก้เหงือกบวม แก้ฟกช้ำ ถอนพิษ
ใบ ใช้ถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย นำใบสดมาตำ แล้วคั้นเอาน้ำมาดื่ม จะทำให้อาเจียน ถอนพิษยาเบื่อเมา แก้พิษของฝิ่นและสารหนู มีวิตามินเอสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
ราก ใช้แก้ไอเรื้อรังและแก้โรคหืด ถอนพิษผิดสำแดง ใช้แก้สตรีมีตกขาวมาก เบาขัด เหงื่อออกมาก ลดอาการบวม
#10
ไม้รอเลื้อย / มะลิพวง มะลุลี รหัส 7-34190-001-452
22 มิถุนายน 2013, 13:33:12 หลังเที่ยง
มะลิพวง มะลุลี รหัส 7-34190-001-452
มะลิพวง มะลุลี
ชื่ออื่นๆ  : มะลุลี มะลิซ่อม
ชื่อสามัญ : The Star Jasmine
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum multiflorum ( Bum.f.) Andr.
ลักษณะทรงพุ่ม : ไม้พุ่มรอเลื้อยเตี้ย รูปแบบทรงพุ่มไม่ค่อยแน่นอน แต่ค่อนข้างกลม
วงศ์ : Oleaceae
ถิ่นกำเนิด : ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย มาเลเซีย พม่า ลาว เขมร เป็นต้น
ลักษณะทั่วไป : ไม้พุ่มรอเลี้อย
ฤดูการออกดอก : ออกดอกตลอดปี
เวลาที่ดอกหอม : หอมอ่อนตลอดวัน (ช่วงอากาศเย็นจะหอมมาก)

#11
ไม้พุ่ม / โป๊ยเซียน รหัส 7-34190-001-451
22 มิถุนายน 2013, 13:26:32 หลังเที่ยง
โป๊ยเซียน รหัส 7-34190-001-451
ชื่อวิทยาศาสตร์   Euphorbia milli Desmoul
ชื่อวงศ์   EUPHORBIACEAE
ชื่อสามัญ Cronw of thorns, Christ Thorn
ลักษณะวิสัย  ไม้เนื้ออ่อน
ลักษณะทั่วไป  มีดอกซ้อนกันหลายดอก ขนาดของลำต้น ใบและดอกแตกต่างกันมาก มีหนามแหลมลำต้นแข็งแรง ลำต้นตั้งตรงหรือเอนลู่ห้อยลง  ใบหนาเป็นรูปใบพาย ออกดอกเป็นช่อ เช่น สีขาวครีม เหลือง ส้ม ชมพู ม่วง เขียว  ออกดอกตลอดปี  มีลำต้นแข็งแรง  มีหนามแหลม  คล้ายต้นตะบองเพชร  มียางสีขาวข้นคล้ายน้ำนมใบมีสีเขียวเข้ม  บางชนิดมีจุดประต่าง ๆ บางชนิดมีขลิบสีอ่อน  และตรงใจกลางดอกมีสีต่าง ๆ กัน  บางชนิดมีชั้นเดียว  แต่บางชนิดมีดอกซ้อนกันถึง 6 ชั้น  ดอกบานตลอดปี  และออกดอกมากในฤดูหนาว ดอกบานทนทาน
      การกระจายพันธุ์  กลางแดด  และในดินโปร่ง
การขยายพันธุ์ วิธีที่นิยม  และได้ผลดี  คือการปักชำ  และการเสียบยอด
ถิ่นกำเนิด  แอฟริกา  หมู่เกาะมาดากัสการ์  และแถบหมู่เกาะคะเนรี
ประโยชน์ ปลูกเป็นไม้ประดับสวยงาม เป็นไม้มงคล คนจีนนิยมปลูกกัน
ความสำคัญต้นโป๊ยเซียนนั้น  บางคนเชื่อว่าเป็นต้นไม้เสี่ยงทาย  หากผู้ใดปลูกต้นโป๊ยเซียน  ออกดอกได้ 8 ดอก  ก็จะมีโชคลาภ  ร่ำรวยเงินทอง  หรือได้เลื่อนยศเลื่อน
ตำแหน่งให้สูงขึ้น  คนโบราณเชื่อกันว่าครอบครัวใดปลูกโป๊ยเซียนเอาไว้ภายในบ้าน  ต้นไม้ชนิดนี้จะช่วยชักนำโชคลาภมาให้สมาชิกทุกคนภายในบ้าน  และยังเชื่ออีกว่าต้นโป๊ยเซียนยังช่วยปกป้องคุ้มครองเจ้าของ และครอบครัวให้มีแต่ความสงบสุข  เพราะต้นโป็ยเซียนนั้นเป็นตัวแทนของเทพเจ้า 8 องค์  ที่คอยคุ้มครองให้มนุษย์สงบสุขและ
มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง
#12
ไม้ล้มลุก / เศรษฐีเรือนใน รหัส 7-34190-001- 375
22 มิถุนายน 2013, 13:23:03 หลังเที่ยง
เศรษฐีเรือนใน รหัส 7-34190-001- 375
ชื่อวิทยาศาสตร์ :Chlorophytum comosum (Thunb.)
Jacques
ชื่อวงศ์ : ANTHERICACEAE
ชื่อสามัญ : Spider plant
ลักษณะทั่วไป (Characteristic) :   ไม้คลุมดิน  ลำต้นเป็นเหง้าสั้นๆอยู่ใต้ผิวดิน แตกใบขึ้นเป็นพุ่ม  เมื่อต้นโต
เต็มที่จะแตกกิ่งแขนงทอดยาวออกมา  ปลายกิ่งมีต้นขนาดเล็ก (Offset)   มีลักษณะเหมือนต้นเดิมทุกประการ
ใบ (Foliage) : ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับแน่น ใบรูปขอบขนาน กว้าง 1-2 เซนติเมตร ยาว 15-28 เซนติเมตร ปลายใบแหลม  โคนใบแผ่เป็นกาบ ขอบใบเรียบ ผิวใบด้านบนสีเขียวเป็นมัน มีแถบขาวครีมบริเวณกลางใบ
เมื่อใบยาวเต็มที่แล้วจะห้อยโค้งลงมา
ดอก (Flower) :   สีขาว   ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะจากกอ  ช่อดอกยาว 15-30 เซนติเมตร ดอกขนาดเล็ก
ผล (Fruit) :   ผลแห้งแตก ขนาด 9-10 มิลลิเมตร สีขาว
การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) :   ปลูกประดับสวนหย่อม  ที่ร่มรำไร   ใช้เป็นไม้กระถางประดับ
ในสวนถาดหรือกระถางแขวน


#13
ไม้ล้มลุก / เศรษฐีเรือนนอก รหัส 7-34190-001- 374
22 มิถุนายน 2013, 13:20:52 หลังเที่ยง
เศรษฐีเรือนนอก รหัส 7-34190-001- 374
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Chlorophytum bichetii (Karrer) Backer.
ชื่อวงศ์ :  ANTHERICACEAE
ชื่อสามัญ : St. Bernard's lily
ลักษณะทั่วไป (Characteristic) : ไม้คลุมดิน ลำต้นเป็นเหง้าสั้นๆอยู่ใต้ผิวดิน แตกใบขึ้นเป็นพุ่ม รากมักจะมีตุ้มสีขาวสำหรับเก็บสะสมอาหารและน้ำ
ใบ (Foliage) :   ใบเดี่ยว  เรียงเวียนสลับแน่น  ใบรูปขอบขนาน   กว้าง 0.8-1.6 เซนติเมตร    ยาว 10-20 เซนติเมตร  ปลายใบแหลม   โคนใบแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น  ขอบใบเรียบ   ผิวใบด้านบนสีเขียวเป็นมันมีแถบ
ขาวครีมบริเวณขอบใบ เมื่อใบยาวเต็มที่แล้วจะห้อยโค้งลงมา
ดอก (Flower) : สีขาว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะจากกอ ช่อดอกยาว 10-15 เซนติเมตร ช่อละ 3-4 ดอก ดอกขนาดเล็ก
ผล (Fruit) : ผลแห้งแตก ขนาด 7-10 มิลลิเมตร สีขาว เมล็ดสีดำ
การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) :  นำมาจัดสวนถาด  ปลูกคลุมดินประดับสวน   เหมาะสำหรับสวนหิน สวนญี่ปุ่นและสวนทั่วไปที่มีสภาพแสงเหมาะสม

#14
ไม้ต้น / พะยูง รหัส 7-34190-001-373
22 มิถุนายน 2013, 13:17:23 หลังเที่ยง
พะยูง รหัส 7-34190-001-373
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dalbergia cochinchinensis Pierre
วงศ์ PAPILIONACEAE
ชื่อสามัญ Siamese Rosewood
ชื่ออื่น ๆ ขะยุง แดงจีน ประดู่เสน พะยุง Dalbergia cochinchinensis Pierre
ลักษณะ
  ไม้ต้น ผลัดใบ สูง 15 - 25 เมตร เปลือกสีเทาเรียบ เรือนยอดทรงกลมหรือรูปไข่ ใบ เป็นช่อแบบขนนกปลายใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบย่อยเรียงสลับจำนวน 7 - 9 ใบ ขนาดกว้าง 3 - 4 เซนติเมตร ยาว 4 - 7 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้ม ท้องใบสีจาง ดอก ขนาดเล็กสีขาว กลิ่นหอมอ่อน ออกรวมกันเป็นช่อตามง่ามใบ และตามปลายกิ่ง ผล เป็นฝักรูปขอบขนานแบนบางขนาดกว้าง 1.2 เซนติเมตร ยาว 4 - 6 เซนติเมตร มีเมล็ด 1 - 4 เมล็ด
นิเวศวิทยา ขึ้นในป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณชื้น ทั่ว ๆ ไป ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก
ประโยชน์ เนื้อไม้สีแดงอมม่วง ถึงแดงเลือดหมูแก เนื้อละเอียด แข็งแรงทนทาน ขัดและชักเงาได้ดี ใช้ทำเครื่องเรือน เกวียน เครื่องกลึงแกะสลัก ทำเครื่องดนตรี เช่น ซอ ขลุ่ย ลูกระนาด
       
#15
ไม้พุ่ม / ชาปัตตาเวีย รหัส 7-34190-001- 372
22 มิถุนายน 2013, 13:15:08 หลังเที่ยง
ชาปัตตาเวีย รหัส 7-34190-001- 372
ชาปัตตาเวีย
ชื่อวิทยาศาสตร์ Malpighia coccigera L.
ชื่อสามัญ Miniature Holly, Singapore Holly
ชื่ออื่น ชาใบหนาม  ชาใบมัน
ไม้พุ่ม สูง 0.๕-๑ เมตร ลำต้นมีหนาม ใบ ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปกลมรี กว้างประมาณ ๒เซนติเมตร ยาว ๒-๓ เซนติเมตร ปลายเป็นติ่ง โคนมน ขอบจักห่างๆ แข็งและแหลม ด้านบนมีสีเขียวเข้ม เป็นมัน ดอก สีชมพู หรือขาว กลิ่นหอมอ่อนๆ ออกเป็นช่อตามซอกใบ กลีบดอก ๕ กลีบ กางออกคล้ายกังหัน โคนกลีบเรียวเล็ก ขอบเป็นลอน เมื่อบานเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑.๕ เซนติเมตรเกสรตัวผู้สีเหลือง ๑0 อัน ผล กลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.๘ เซนติเมตร เมื่อสุกสีแดง
ประโยชน์   นิยมนำชาปัตตาเวียไปดัดเป็นรูปสัตว์ต่างๆ โดยดัดลวดเป็นโครงรูปสัตว์เสียก่อน แล้วจึงนำชาปัตตาเวียไปปลูกเกาะและดัดให้เข้ารูป