• Welcome to งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.
 

ข่าว:

โรงเรียนได้รวบรวม พืชพรรณ นานาชนิดกว่า 600 ชนิด ที่ถูกรวบรวม เรียบเรียงไว้อย่างเป็นระบบ สืบค้นได้ง่าย

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - นางสาวศิริรัตน์ จำปางาม

#1
คอมพิวเตอร์กราฟิกพรรณไม้ / ดอกบัวดิน
25 มิถุนายน 2013, 13:56:30 หลังเที่ยง
ดอกบัวดิน
นางสาวศิริรัตน์ จำปางาม ชั้น ม.5/1 เลขที่ 15
#2
ไม้พุ่ม / ชวนชม รหัส 7-34190-001-249
22 มิถุนายน 2013, 14:23:48 หลังเที่ยง
ชวนชม รหัส 7-34190-001-249 
ชื่อสามัญ           Impala Lily Adenium Mock Azalea,Desert Rose,Kudu Lily และ Sabi Star
ชื่อวิทยาศาสตร์ Adenium obesum (Forssk.) Roem & Schult.
ชื่อวงศ์               APOCYNACEAE

ลักษณะโดยทั่วไป
  ชวนชมเป็นพรรณไม้ยืนต้นอวบน้ำขนาดเล็กลำต้นมีความสูงประมาณ1-3เมตรลำต้นอวบน้ำผิวเปลือกสีเขียวปนขาวผิวเรียบเป็นมัน ลำต้นมียางลำต้นบิดงอไปตามจังหวะแตกกิ่งก้านสาขาน้อยรูปทรงโปร่งใบแตกออกตามปลายของกิ่งก้านใบมนรีปลายใบมนโคนใบสอบเรียว กลางใบมีเส้นสีขาวมองได้ชัด ตัวใบแข็ง ผิวเป็นมันเรียบมีสีเขียวดอกออกตรงปลายยอดของก้านดอกเป็นรูปแตรมีกลีบดอก 5 กลีบ มีสีชมพูโคนกลีบดอกมีฐานรองดอกเป็นแฉกเล็ก ๆ สีเขียว ดอกบานมีความกว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร ยาวประมาณ  5 เซนติเมตร
ชวนชม(Adenium obesum) เป็นไม้ประดับชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากผู้สนใจ รัก และปลูกเลี้ยงไม้ดอกไม้ใบประดับกันอย่างมากที่สุด เพราะชวนชมเป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกเลี้ยงกันง่ายในสภาพอากาศร้อน ทรงต้นดูแปลกตา ให้ดอกชมกันตลอดปี และสีสันดอกสดใสสวยงามยิ่งมีการผสมพันธุ์จนได้ชวนชมต้นใหม่ที่แตกต่างออกไปจากต้นพ่อพันธุ์ต้นแม่พันธุ์ ทำให้มีชวนชมดอกสีแปลกๆ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น
ชวนชม หรือที่เรียกกันว่า ลั่นทมยะวา เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันออก แถบแทนซาเนีย เคนยา และ ยูกันดา สามารถทนแล้งอยาในทะเลทรายได้เพราะเป็นพืชอวบน้ำจนได้ชื่อว่าเป็นกุหลาบแห่งทะเลทราย ( Desert Rose)
การแยกประเภทสายพันธุ์ชวนชม แบ่งออกเป็น 5 สายพันธุ์ดังนี้
1.Adenium obesum ssp. boehmianum (Schinz) G. Rowley
ใบใหญ่ ปลายใบกลมหรือมน มีรอยเว้าแหลม ขอบใบปิดเป็นคลื่น ดอกสีชมพูถึงสีม่วง สีม่วงเข้มในส่วนของกลีบดอกที่เชื่อมกันเป็นหลอด พบในนามิเบีย และ ทางตอนใต้ของอังโกลา
2. Adenium obesum ssp.oleifolium (Stapf) G. Rowley
ส่วนโคนต้นที่แข็งแรงและมีเนื้อไม้อยู่ใต้ดินลำต้นส่วนที่อยู่เหนือดินมีลักษณะผอมยาวและมีเนื้ออ่อน ใบรูปแถบขนาด 5´30 เซนติเมตร สีเขียวอมเทา แผ่นใบมีขนสั้นปกคลุม และมีสารจำพวกขี้ผึ้งเป็นผงละเอียดปกคลุมใบ พบในแถบตะวันออกของนามิเบีย ตอนเหนือของเคป และทางตอนใต้ของบอตสวานา
3.Adenium obesum ssp. socotranum (Vierh.) Lavranos
ทรงพุ่มเตี้ย ลำต้นรวมกันเป็นกลุ่ม กิ่งเรียงเป็นแนวสั้นๆ รวมกันเป็นกระจุก แผ่นใบเกลี้ยง ดอกสีชมพูสด พบใน โซ***า
   
   


#3
ไม้พุ่ม / ย่าหยา รหัส 7-34190-001-247
22 มิถุนายน 2013, 14:15:15 หลังเที่ยง
ย่าหยา รหัส 7-34190-001-247
ชื่อวิทยาศาสตร์ Asystasia gangetica (Linn) T. Anders.
ชื่อวงศ์           ACANTHACEAE
ชื่อสามัญ        Indian Asystasia
ชื่ออื่นๆ          ย่าหยา (กรุงเทพฯ) ผักกูดเน่า (เชียงใหม่)
ลักษณะวิสัย ไม้พุ่ม สูง ๑-๑.๕ เมตร ใบ ใบเดี่ยว ออกด้านตรงข้าม รูปไข่หรือรูปหัวใจ กว้าง ๒-๓ เซนติเมตร ยาว ๒.๕-๑๐ เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมนหรือเว้า ผิวใบด้านบนเป็นมัน
ด้านล่างมีขนนุ่ม ดอก สีขาวหรือม่วงอ่อน ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบดอกโคนเชื่อมกันเป็น
รูปถ้วย ปลายแยกเป็น ๕ กลีบ เมื่อบานเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๒.๕-๑๐ เซนติเมตร มีขนเมื่อแก่แตกได้
นิเวศวิทยา ถิ่นกำเนิด อินเดีย ศรีลังกา ชอบที่ชุ่มชื้น
ออกดอก ตลอดปี
ขยายพันธุ์ เมล็ด ย่าหยา หรือ เพ็ญนภา
ดอกไม้ปลูกเลี้ยงง่าย ให้ดอกดกและโตเร็ว
ชอบแสงแดดครึ่งวันรำไร
  การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Plantae
ส่วน: Magnoliophyta
ชั้น: Magnoliopsida
ตระกูล: Scrophulariales
วงศ์: Acanthaceae
สกุล: Asystasia
ชนิด: Asystasia gangetica



#4
ไม้ล้มลุก / หงอนไก่ไทย รหัส 7-34190-001-244
22 มิถุนายน 2013, 13:59:28 หลังเที่ยง
หงอนไก่ไทย รหัส 7-34190-001-244
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Celosia argentea   L. var. cristata   (L.) Kuntze
ชื่อวงศ์ :                 AMARANTHACEAE 
ชื่อสามัญ :          Common cockscomb, Crested celosin
ชื่ออื่น :              กระลารอน (เขมร-ปราจีนบุรี) ชองพุ ซองพุ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี)  ดอกด้าย ด้ายสร้อย ร้อยไก่ หงอนไก่ (ภาคเหนือ)  พอคอที (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) หงอนไก่ดง (นครสวรรค์) หงอนไก่ไทย หงอนไก่ฝรั่ง หงอนไก่ฟ้า(ภาคกลาง)
ลำต้น ไม้ล้มลุก อายุเพียงปีเดียว สูง 0.4-1.5 เมตร ลำต้นตั้งตรง เป็นร่อง มักจะแตกกิ่งก้านสีเขียวหรือสีแกมแดง
ใบ เป็นใบเดี่ยว ติดเรียงเวียนรอบลำต้น รูปหอกหรือรูปรี ปลายใบและโคนใบแหลม ใบสีเขียวมีจุดสีแดงแต้ม ใบข้างล่างมีขนาดใหญ่กว่าใบด้านบน ก้านใบยาว ใบที่อยู่ด้านบนเล็กกว่า ก้านใบสั้นหรือไม่มีก้านใบเลย
ดอก ออกเป็นช่อกระจุกที่ส่วนปลายของกิ่ง เป็นแท่งยาว ปลายแหลม ดอกย่อยขนาดเล็กไม่มีก้านดอก เรียงอัดกันแน่น มีใบประดับรองรับ 2 ใบ กลีบดอกมี 5 กลีบ สีขาว ปลายแต้มด้วยสีชมพู บางสายพันธุ์ช่อดอกม้วนงอเหมือนหงอนไก่
ผล กลมขนาดเล็ก สีดำมันเป็นเงา
ประโยชน์ :  เป็นไม้ประดับแปลง ให้ดอกสวยสวยงาม สีสรรสุดุดเด่น หรือเป็นไม้ตัดอก ทำดอกไม้แห้ง สรรพคุณทางสมุนไพร ใบ ห้ามเลือด ดอก แก้บิด ริดสีดวงทวาร อาเจียนเป็นเลือด ประจำเดือนไม่ปกติ เมล็ด แก้ริดสีดวงทวาร บิด ถ่ายเป็นมูกเลือด ลดความดันเลือด ราก แก้ไข้ ท้องอืด บำรุงธาตุ แก้หืด ขับเสมหะ


#5
ไม้ต้น / มังคุด รหัส 7-34190-001-400
22 มิถุนายน 2013, 13:48:40 หลังเที่ยง
400  มังคุด Garcinia mangostana L.
ชื่อวิทยาศาสตร์     Garcinia mangostana L.
ชื่อวงศ์     GUTTIFERAE
ชื่อสามัญ  Mangosteen
ชื่อท้องถิ่น -
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบ สูง 10-12 เมตร ทุกส่วนมียางสีเหลือง กิ่งก้านแตกแขนงต่ำตั้งแต่โคนต้น ทรงต้นเป็นแบบกรวยคว่ำหรือทรงปิรามิด ทรงพุ่มหนาทึบ กิ่งแตกออกเป็นคู่แบบสลับกิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยม ผิวเปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลคล้ำ
ใบ ใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ใบมีรูปร่างคล้ายใบพายหรือรูปรีมีขนาดใหญ่ กว้าง 6-11 ซม. ยาว 12-25 ซม. เนื้อใบหนาปลายใบแหลมก้านใบสั้นไม่มีขน บริเวณซอกใบเป็นที่อยู่ของตาข้าง
ลักษณะของพืช
มังคุดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ใบใหญ่
หนาและแข็งดอกออกเป็นช่อแยกได้เป็น ทั้งดอกตัวผู้ละดอกตัวเมีย ดอกตัวผู้จะเป็นสีเหลืองอมแดงหรือ
ม่วง ส่วนดอกตัวเมียจะเป็นสีชมพู
การปลูก
นิยมขยายพันธุ์ด้วยกิ่งตอน ควรเริ่มตอนกิ่งในฤดูฝน และ
กิ่งตอนจะออกรากภายใน 1-1/2 เดือน กล้าไม้มังคุดจะต้องมีอายุอย่างน้อย 3 ปี จึง
จะเอามาปลูกลงไปในหลุมได้ การปลูกในระยะแรกควรปลูกโดยการให้น้ำ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ต้นมังคุด จะได้ผลเมื่อมีอายุ 10 ปี
ส่วนที่ใช้เป็นยา เปลือกผลแห้ง
รสและสรรพคุณยาไทย
รสฝาด แก้ท้องเสีย บิด มูกเลือด ในชนบทมักจะใช้น้ำ
ต้มเปลือกมังคุดชะล้างแผลจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ 
เปลือกผลมังคุดมีสาร"แทนนิน"เป็นจำนวนมาก มีฤทธิ์แก้อาการ ท้องเดินได้ดี นอกจากนี้ในเปลือกมังคุดออกฤทธิ์สมานแผลได้ดีมาก ทั้งยังฆ่าเชื่อแบคทีเรียได้อีกด้วย
โดยเฉพาะเชื้อที่ทำให้เกิดหนอง และมีฤทธิ์ลดอาการอักเสบลงได้ดี กองวิจัยทางแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์
การแพทย์ ได้ศึกษารายงานว่าไม่มีพิษเฉียบพลัน แต่ควรระวังเรื่องขนานของการใช้ เพราะสารที่เปลือกมังคุดมี
ฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางและเพิ่มความดันเลือดได้
วิธีใช้
เปลือกมังคุดใช้เป็นยารักษา อาการท้องเสีย ใช้เปลือกที่ตากแห้งต้ม
กับน้ำปูนใส่หรือฝนกับน้ำดื่มได้อาการเป็นบิด (ปวดเบ่ง มีมูก และอาจมีเลือดออก) ใช้เปลือกผลแห้ง
ประมาณครึ่งผล (4 กรัม) ย่างไฟให้เกรียมฝนกับน้ำปูนใส่ประมาณครึ่งแก้วดื่มทุก ชั่วโมง
คุณค่าทางอาหาร
มังคุดเป็นผลไม้ เนื่อมังคุดมีเกลือแร่และวิตามินมากมายที่เดียว
ผล ลักษณะกลมมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.5-7 ซม. หรือมากกว่า ผิวเปลือกเรียบไม่มีหนาม ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จะเริ่มมีลายสีแดงๆ หรือสีม่วงแดงชาวสวนเรียกว่า "สายเลือด" จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงจนถึงดำภายใน 2-3 วัน เปลือกผลหนาและค่อนข้างแข็งมีสีม่วง เปลือกหนา 0.8-1.0 ซม. บริเวณเปลือกมีท่อน้ำยางซึ่งเป็นสารพวกแทนนิน มีรสฝาดซึ่งเป็นตัวช่วยลดการทำลายของแมลงได้ทางหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแมลงวันทองไม่สามารถเข้าทำลายได้ ภายในผลมีเนื้อในนุ่มสีขาวนวล
เมล็ด เจริญมาจากก้านชูไข่ใน 1 ผล มีเมล็ด 2-3 เมล็ด สามารถตัดแบ่งเป็นชิ้นๆ ไปเพาะได้ แต่ละชิ้นได้ต้นกล้า 1 ต้น มีลักษณะเหมือนตัวแม่อายุการงอกของเมล็ดสั้นมาก เมื่อผ่าเอาเมล็ดออกมาจากผลแล้ว ถ้าไม่มีการเก็บรักษาผลที่ดีจะอยู่ได้ 2-3 วันเท่านั้น แต่ถ้ามีการเก็บรักษาที่ดีๆ อาจอยู่ได้นานถึง 30 วัน
ลักษณะพิเศษ มีสรรพคุณทางยา
เปลือกผล ใช้เปลือกผล บดต้มหรือชงแก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด แก้ท้องเสีย ผสมน้ำปูนทาสมานแผล แก้แผลเน่าเปื่อยพุพอง แผลมีน้ำหนอง เปลือกผลยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งทำให้เกิดหนอง โดยฆ่าได้ทั้งสายพันธุ์ปกติสายพันธุ์ดื้อยา "แพนนิซิลิน" มีฤทธิ์ต้านเชื้อ ต้านโรคผิวหนัง ใช้รักษาแผลที่เป็นหนองสิวช่วยลดร่องรอยด่างดำ เนื้อหุ้มเมล็ด แก้ร้อนใน
ยางจากผล ใช้ยางสดสีเหลืองใช้เป็นยาแก้บิดท้องร่วง และช่วยสมานแผลได้ดี น้ำต้มเปลือกผลมังคุดมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุอาการท้องเสียสารสกัดเปลือกมังคุดมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของการเกิดหนอง  ครีม GM1 ประกอบด้วยสารสกัดจากมังคุด มีคุณสมบัติใช้ในการรักษาแผล แผลติดเชื้ออักเสบ และแผลในผู้ป่วยเบาหวาน
ดอก สีชมพูเรื่อๆ ออกเป็นดอกเดี่ยว หรือออกเป็นคู่ ตามบริเวณปลายกิ่งลักษณะของดอกเป็นดอกกระเหย แต่เกสรตัวผู้เป็นหมันไม่สามารถผสมเกสรได้ มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกอย่างละ 4 กลีบ ดอกมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5-6 ซม. กลีบเลี้ยงมีสีเขียวอมเหลือง ก้านดอกใหญ่และสั้น ความยาว 1.5-2.0 ซม. มีรังไข่แบบ superior ovary

#6
ไม้ล้มลุก / ผักแว่น รหัส 7-34190-001-398
22 มิถุนายน 2013, 13:39:49 หลังเที่ยง
ผักแว่น รหัส 7-34190-001-398
ชื่อวิทยาศาสตร์ Marsilea crenata Presl.
ชื่ออื่น            water clover
ประเภท/ชีพจักร   เฟิร์น/อายุมาก 1 ปี
ชื่อวงศ์           MARSILEACEAE
ลักษณะเด่นใบเป็น 4 แฉก

ส่วนขยายพันธุ์ไหล (stolon)และอับเรณู (spore)
ลักษณะ เป็นวัชพืชประเภทเฟินน้ำมีอายุหลายปี ลำต้นพบทั้งที่เป็นเหง้า อยู่ใต้ดิน หรือเป็นไหลตาม ผิวดินหรือใต้น้ำไหลลักษณะกลมเรียวยาว สีเขียวอ่อน มีข้อปล้อง ชัดเจนใบแตกจากข้อของลำต้นจำนวน 1 ก้าน ใบต่อข้อ ใบเป็นใบประกอบ ก้านใบเล็กเรียวยาว 5-156 ซม. ปลายก้าน ใบมีใบย่อยจำนวน 4 ใบ เกิดที่จุด เดียวกัน ลักษณะเป็นรูป สามเหลี่ยม หงายหรือรูปลิ่ม ขนาดเท่ากัน โคนใบสอบปลายใบกว้าง กลมมน ผิวใบ เรียบ sporocarp รูปไข่กลมขนาดเมล็ดถั่วเขียวมีก้าน สั้นๆ ติดกับ ก้านใบ ตอนล่างมีประมาณ1-3 sporocarp ต่อก้านใบมักพบกับ ต้นที่เกิดบนดิน ที่เริ่มแห้งแล้ง สืบพันธุ์ได้ทั้งแบบ แตกไหลและโดยใช้ สปอร์สามารถ ลดผลผลิตข้าว ลงได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์






#7
ไม้เลื้อย / พลู รหัส 7-34190-001-397
22 มิถุนายน 2013, 13:28:51 หลังเที่ยง
7-34190-001- 397  พลู
ชื่อวิทยาศาสตร์  Piper betle Linn.
ชื่อสามัญ BETEL VINE  ,Betel Pepper
ชื่อวงศ์     PIPERACEAE
ชื่อท้องถิ่น ใบพลู(ภาคใต้) เปล้าอ้วน ซีเก๊าะ (มลายู - นราธิวาส) พลูจีน (ภาคกลาง)บูลเปล้ายวน, ชีเก (ใต้), พลู (ทั่วไป), ปู (พายัพ)

พลูเป็นไม้เลื้อย มีข้อ และมีปล้องชัดเจน ใบเดี่ยวติดกับลำต้น: เป็นพรรณไม้เถาเลื้อยยาว ก่อนที่จะปลูกพรรณไม้นี้ต้องหาค้างให้มันยึดเกาะ และจะมีรากเป็นกระจุก ออกมาตามเถาสามารถจับแน่น กันสิ่งที่มันยึดเกาะอยู่
ใบ : เป็นใบเดี่ยว ใบอ่อนจะเป็นสีเขียว และใบแก่สีจะเข้มขึ้น ก้านใบมีความยาวประมาณ 5 ซม. จะออกตามเถาบริเวณตา ใบจะมีกลิ่นฉุน พลูนั้นจะมีหลายชนิดคือพลูจีน พลูเหลือง พลูเขียว และพลูทองหลาง

รสและสรรพคุณยาไทย »
รสแผ็ดร้อนเป็นยาฆ่าเชื้อโรค ขับลม ใช้ใบพลูตำกับเหล้าทาบริเวณที่เกิดเป็นลมพิษหายได้ ใช้รับประทานกับหมากและปูนแดง
สรรพคุณ - แก้ลมพิษ การที่ใบพลูสดสามารถรักษาลมพิษได้ เพราะใบพลูมีน้ำมันพลู (คือ BETEL OIL) มีฤทธิ์ทำให้ปลายประสาทชาจะทำให้หายคัน และผื่นลมพิษจะยุบ - รักษากลาก การที่ใบพลูสดสกัดด้วยเหล้าโรง สามารถรักษาโรค กลากให้หายได้ เพราะในใบพลูสดมีน้ำมันพลู (BETEL OIL) ซึ่งมีสาร หลายชนิดที่สำคัญคือ "ชาวิคอล" เป็นตัวออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา
ใบพลูมีน้ำมันหอมระเหย ประกอบไปด้วยChavicol ,Chavibitol , cineol eugenoi carvacrol B-sitosterolและที่อื่นๆสารเหล่านี้มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคได้ ทำให้ปลายประสาทชา แก้อาการคันได้ดีจากสารประกอบอาจจะเป็นสารพวกB-sitosterolที่ช่วยในการลดอาการอักเสบ

สรรพคุณ : ใบ ใช้รักษาแผลช้ำบวม โดยใช้ใบพลูหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วใช้ตำผสมกับเกลือ พอละเอียดใช้ตำพอกที่แผล รักษาลมพิษ ตำใบพลูให้ละเอียดดี แล้วเติมเหล้าขาวลงไป พอให้เหลวนิดหน่อย ใช้ทาตรงบริเวณที่เป็น รักษาเลือดกำเดาไหล ใช้ใบพลูมวนบุหรี่ ขยี้ปลายข้างหนึ่งให้ช้ำ แล้วสอด



ปลายข้างที่ช้ำนั้นอุด เข้าไปในรูจมูกข้างที่มีเลือดไหลให้แน่น เหมือนเอานิ้วชี้อุดจมูก รักษาอาการปวดท้องในเด็ก โดยเอาใบพลู มาอังไฟ จนใบพลูอ่อนตัว ไปวางลงบนท้องเด็ก ในขณะที่ใบพลูอ่อน วางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ พอพลูเย็นให้เปลี่ยนใบพลู แล้วทำแบบเดิมหลาย ๆ ครั้ง
ถิ่นที่อยู่ : พรรณไม้นี้ มักขี้นอยู่ในบริเวณที่มีความชื้นสูง และมีอากาศร้อน มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอินเดีย South east asia และตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีภูมิอากาศคล้าย ๆ กัน เช่น ในแอฟริกาข้อมูลทางคลีนิค และทางเภสัชวิทยา : 1. มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งเชื้อโรคที่ทำให้เกิดหนองที่แผล และฝี นอกจากนี้ใบพลูยังมีฤทธิ์ลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียใช้รักษาอาการอักเสบของเยื่อจมูก และคอ และยังสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อวัณโรคได้
2. มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อผิวหนัง มีผลไปกระตุ้นให้เลือดไหล เรียบที่ผิวหนัง ตามบริเวณที่ถูกยามากขึ้น และยังช่วยลดการอักเสบ เคล็ด ขัด ยอก ช้ำ และอาการบวมได้
3. รักษาอาการเคล็ด ขัด ยอก พบว่าน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากใบพลูนั้น ทำให้กล้ามเนื้อของกบ สุนัข หนู และกระต่ายคลายตัวไม่เกร็ง มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการปวด เคล็ด ขัดยอกได้
4. มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อรา พบว่าใบพลูมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา 3 ชนิด ที่เป็นสาเหตุสำคัญ ของโรคกลาก และฮ่องกงฟุต
5.รักษาอาการปวดท้อง ท้องเสีย พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากใบพลูทำให้ลำไส้ที่เกร็งอยู่คลายตัว จึงใช้บรรเทาอาการปวดท้อง ที่เกิดจากลำไส้เกร็งตัวได้ และยังพบอีกว่าน้ำมันหอมระเหย ไปทำให้ลำไส้เกิดการบีบตัวมากเกินไป จึงใช้รักษาอาการท้องเสียได้
6. รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ พบว่าน้ำมันหอมระเหย มีฤทธิ์ช่วยขับลม จึงใช้รักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้
นอกจากนี้ในใบพลูยังมีน้ำย่อยชื่อ diastes ไดแอสเทส ช่วยรักษาอาการท้องอืด เนื่องจากอาหารจำพวกแป้งไม่ย่อย
7.เป็นยาชูกำลัง น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากใบพลูนั้น มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นสมองอย่างอ่อน ๆ ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าสมองแจ่มใส เหมือนดื่มกาแฟ หรือสูบบุหรี่
8. ช่วยลดความดันโลหิตสูง น้ำมันหอมระเหยจากใบพลู ลดความดันโลหิตของกบ สุนัข หนู และกระต่ายได้
9. ใช้เป็นยาฝาดสมาน พบว่าในใบพลูนั้น มีสารฝาดสมานแทนนินอยู่ประมาณ 1%
10. มีสารกันหืน สารตัวนี้ละลายได้ดีในน้ำร้อน และไม่ทำให้น้ำมันเสียรส เสียกลิ่น แต่น้ำมันจากใบพลูนั้นเสียง่าย จึงเก็บไม่ได้นาน จึงต้องใบแบบสด ๆ
#8
ไม้ล้มลุก / กล้วยร้อยหวี รหัส 7-34190-001-396
22 มิถุนายน 2013, 13:25:16 หลังเที่ยง
7-34190-001- 396  กล้วยร้อยหวี
ชื่อวิทยาศาสตร์   Musa cavendishii Lamb.
ชื่อวงศ์    MUSACEAE
ชื่ออื่นๆ    กล้วยงวงช้าง

ลักษณะ
ไม้ล้มลุก มีลำต้นเป็นเหง้าใต้ดิน ลำต้นเทียมเป็นกาบใบหุ้มซ้อนกัน สูง 3-3.5 เมตร แตกกอเช่นเดียวกับกล้วยทั่ว ๆ ไป ใบเป็นใบเดี่ยวรูปขอบขนาน กว้าง 40 ซม. ยาว 2-2.5 ซม. โคนมน ปลายตัด ดอกออกที่ปลายต้น เป็นปลีห้อยลงมา กล้วยร้อยหวีมีงวงปลียาวเป็นพิเศษ บางครั้งถึง 2 เมตร มีจำนวนหวีมากอยู่ชิดกัน ผล มีขนาดเล็กเรียงเบียดกันแน่นในหวี ผลสุกสีเหลือง รสหวานรับประทานได้ มีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก
ประโยชน์   ปลูกเป็นไม้ประดับให้ความแปลกตา และสวยงาม ปกติออกปลี ปีละครั้ง















#9
ไม้ต้น / ตะลิงปลิง รหัส 7-34190-001-295
22 มิถุนายน 2013, 13:13:25 หลังเที่ยง
ตะลิงปลิง รหัส 7-34190-001-295
ชื่อพฤกษศาสตร์   Averrhoa bilimbi L.
ชื่อสามัญ             Bilimbi, Cucumber Tree
ชื่ออื่น                  หลิงปลิง บลีมิง กะลิงปลิง ลิงปลิง ปลีมิง
ชื่อวงศ์                 OXALIDACEAE
  ตะลิงปลิงเป็นไม้ต้นขนาดเล็ก  สูงประมาณ  6 เมตร  ต้นสั้น  แตกกิ่งก้านสาขามากมาย  กิ่งปกคลุมด้วยขนนุ่มๆ  เปลือกสีชมพู ผิวเรียบ หักง่าย
ใบ เป็นใบประกอบ มีใบย่อยประมาณ 11-37  ใบ เรียงจากขนาดเล็กไปหาขนาดใหญ่  ใบย่อยเป็นรูปหอก โคนมน  ปลายแหลม  กว้างประมาณ 1 ซม. ยาว 2-5  ซม.  สีเขียวอ่อนมีขนนุ่มๆ ปกคลุมอยู่
ดอกช่อ  ออกเป็นช่อๆ ตามต้นหรือกิ่ง  ดอก สีแดงเข้ม  กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ สีเขียวอมชมพู  กลีบดอกมี 5 กลีบ กลิ่นหอมหวาน  เกสรกลางดอกเป็นสีเขียวอ่อน
ผล  เป็นผลช่อห้อย ผลยาว  4- 6 ซม. กว้างประมาณ  2 ซม. ผิวบางเรียบสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีเหลือง เนื้อเหลว เปรี้ยว
การขยายพันธุ์  เพาะเมล็ด
ประโยชน์  ดอกชงกินแก้ไอ ผล เป็นยาเจริญอาหาร  ทำน้ำผลไม้  ผลไม้แห้ง และแช่อิ่ม  ใบ ใช้พอกแก้คัน
ถิ่นกำเนิด แถบริมทะเลในประเทศบราซิล  ขึ้นได้ดีในดินปนทราย
ประโยชน์ทางอาหาร
ส่วนที่เป็นผักตามฤดูกาล ผลอ่อนของตะลิงปลิง ใช้เป็นผัก และเครื่องปรุงรสได้ ผลออกในช่วงฤดูหนาว การปรุงอาการผลอ่อนของตะลิงปลิง มีรสเปรี้ยวจัด นิยมใส่เป็นเครื่องปรุงรสในแกงคั่ว ต้ม ต้มยำ หรือหั่นฝอยเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ผักแกล้มกับอาหารได้
ประโยชน์ทางยา
ใบ สรรพคุณแก้คัน รักษาอาการอักเสบ
ดอก สรรพคุณแก้ไอ
ผล สรรพคุณเจริญอาหาร บำรุงกระเพาะอาหาร ฝาดสมาน และลดไข้
ประโยชน์ : ผลมีวิตามินซี potassium oxalate ในราก ต้น และ ใบ มีสารพวก Hydrocyanic acid เล็กน้อย
สรรพคุณ : ใบ เป็นยาพอกแก้คัน ภายในใช้รักษาซิฟิลิส ยาต้มของใบใช้รักษาการอักเสบของลำไส้ใหญ่ แก้คางทูม ไขข้ออักเสบ รักษาสิว ดอก;ทำยาชงแก้ไอ ผล มี potassium oxalate ทำให้เลือดตกตะกอน เป็นยาเจริญอาหาร ยาบำรุง ผสมกับพริกไทยรับประทานเพื่อขับเหงื่อ ทาแก้ปวดกระดูก น้ำจากผล;แก้ไข้ บำรุงธาตุ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟัน
ใช้หยอดตา และรักษาโรคริดสีดวงทวาร     
พบในสวนสมุนไพร                       

#10
ไม้ล้มลุก / แพรเซี่ยงไฮ้ รหัส 7-34190-001-294
22 มิถุนายน 2013, 13:09:23 หลังเที่ยง
แพรเซี่ยงไฮ้ รหัส 7-34190-001-294

กลีบดอก 4-8 กลีบ หรือมากกว่า รูปไข่กลับ ยาว 1.2-3 ซม.
ขอบย้วย มีทั้งพันธุ์ลา และพันธุ์ซ้อน
เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5-3 ซม. เกสรตัวผู้มีจำนวนมาก
ผล รูปไข่เมื่อแก่แตกตามขวาง เมล็ด รูปไต ผิวค่อนข้างขรุขระ
ถิ่นกำเนิด บราซิล, อาร์เจนตินา ชอบแดดจัด
ออกดอก ตลอดปี บานตอนสาย
ขยายพันธุ์ เมล็ด, ปักชำกิ่ง
ประโยชน์  ไม้ประดับคลุมดิน

ชื่อวิทยาศาสตร์   Portulaca grandiflora Hook. F.
ชื่อวงศ์           PORTULACACEAE
ชื่อสามัญ           Portulaca Rose, Rose Moss, Sun Plant
ชื่ออื่น ๆ            ดอกผักเบี้ย, แดงสวรรค์, ผักเบี้ยฝรั่ง(กรุงเทพฯ)
ลักษณะ              ไม้ล้มลุก ลำต้นอวบ ใบ ใบเดียว ออกดอกเวียนสลับรูปแท่งทรงกระบอก ยาว 2-3 ซม. มักโค้ง ปลายแหลมดอก  มีหลายสี เช่น สีชมพู แดง เหลือง ม่วง หรือขาว บางทีมีลาย ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง มี 2-8 ดอก
กลีบเลี้ยง 2 กลีบ รูปไข่ ยาว 0.5-1.2 ซม.
#11
ไม้เลื้อย / ชมนาด รหัส 7-34190-001-293
22 มิถุนายน 2013, 13:05:40 หลังเที่ยง
ชมนาด รหัส 7-34190-001-293
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Vallaris glabra (L.) Kuntze
ชื่อวงศ์ : Apocynaceae
ชื่อสามัญ : Bread flower
ชื่อพื้นเมือง : ชำมะนาด ชำมะนาดฝรั่ง ดอกข้าวใหม่ อ้มส้าย
ชนิดพืช [Plant Type] : ไม้เลื้อย
ลักษณะทั่วไป (Characteristic) :  ไม้เถาเลื้อย  เนื้อแข็ง  อายุหลายปี เลื้อยไปได้ไกลถึง 6 เมตร   ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางสีขาว แต่ละเถาจะแตกกิ่งตั้งจำนวนมาก
ใบ (Foliage) :    ใบเดี่ยว  เรียงตรงข้าม  รูปไข่แกมรูปรี กว้าง 4-6 เซนติเมตร ยาว 7-9 เซนติเมตร ปลายใบ
แหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน
ดอก (Flower) : สีขาว มีกลิ่นหอมแรงคล้ายใบเตย ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกตามซอกใบและปลายกิ่ง ช่อละ15-30 ดอก   ดอกรูปถ้วยตื้น  โคนกลีบดอกเชื่อมกันเป็นรูปถ้วยตื้นๆ ปลายแยก 5 แฉก  ดอกบานเต็มที่กว้าง
1-1.5 เซนติเมตร
การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) :   ดอกมีสีขาวสะดุดตา   กลิ่นหอมแรงตลอดวัน   ปลูกขึ้นซุ้มที่มี
โครงสร้างแข็งแรงหรือรั้ว กิ่งมักเปราะหักง่ายเมื่อลมพัดแรง ถ้าแสงรำไรจะออกดอกน้อย
ประโยชน์ :  ยางใส่แผลสดสมานแผลและห้ามเลือด












#12
ไม้ต้น / สำโรง รหัส 7-34190-001-292
22 มิถุนายน 2013, 12:59:45 หลังเที่ยง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Sterculia Foetida L.
ชื่อวงค์ Sterculiaceae
ชื่อสามัญ Bastard poom , Pinari
ชื่อพื้นเมือง จำมะโฮง , มะโรง , มะโหรง , โหมรง ,โหมโลง

ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 30เมตร ผลัดใบ
เรือนยอดรูปไข่ ถึงทรงกระบอก ลำต้นเปลาตรง โคนมีพูพอนต่ำๆ เปลือกเรียบสีน้ำตาลปนเทา
ใบ ใบประกอบรูปนิ้วมือ กางแผ่ออกจากจุดเดียวกัน เรียงเวียนจากจุดเดียวกัน เรียงเวียนตอนปลายกิ่ง ใบย่อย5-7 ใบ รูปรี  หรือรูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 3.5 – 6 ซม.ยาว 10 ซม.- 30ซม.
  ปลายใบแหลมหรือมีติ่งแหลม โคนใบรูปลิ่ม แผ่นใบหนา ใบเกลี้ยง เส้นแขนงใบข้างละ 17-21 เส้น ก้านใบประกอบยาว 13-20 ซม.  ก้านใบย่อยยาว3-5 ซม.

ดอก สีแดงหรือสีแสด มีกลิ่นเหม็นมาก ออกรวมเป็นช่อ แบบช่อแยก
      แบบช่อแยก แขนงที่ปลายกิ่ง หรือซอกใบ ปลายกิ่งช่อดอกยาว 10-30ซม.
      กลีบเลี้ยง5กลีบ ปลายม้วนออก ดอกบานเต็มที่ กว้าง 2-2.5 ซม.
ผล ผลแห้งแตกรูปไต เปลือกแข็งเหมือนไม้ สีแดงปนน้ำตาล
      ผิวมันและเกลี้ยงเมื่อ แก่แตกเป็นสองซีกกว้าง6-9ซม. ยาว8-10 ซม.
      เมล็ดสีดำมันรูปขอบขนาน กว้าง .3ซม.ยาว 2.5ซม.
ระยะการเป็นดอกผล ดอก พย.-ธค. , ผล มค.-เมย.
นิเวศวิทยา ป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้ง สูงจากระดับน้ำทะเล 100-600 เมตร
การใช้งานด้านภูมิทัศน์ ดอกเด่นและผลเด่น แต่ดอกมีกลิ่นเหม็นมาก
      ควรปลูกให้ไกลที่พักอาศัย และทางเดินในสวน และควรอยู่เหนือลม
ประโยชน์ ฝักสมานแผลในกระเพาะ เปลือกละลายเสมหะ
#13
ไม้พุ่ม / เนียมอ้ม รหัส 7-34190-001-291
22 มิถุนายน 2013, 12:56:03 หลังเที่ยง
เนียมอ้ม รหัส 7-34190-001-291
ชื่ออื่น ๆ : เนียม ฝอยฝา(กรุงเทพฯ) ; ราม(ปัตตานี) ; ต๋านม่วง(เชียงใหม่) ; กระดูกกบ(สุราษฎร์ธานี) ; กกฟ้า , เล่งมุ้ง(จีน)
ชื่อสามัญ : -
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Chloranthus inconspicuous Sw.
ชื่ออื่น ๆ : เนียม ฝอยฝา(กรุงเทพฯ) ; ราม(ปัตตานี) ; ต๋านม่วง(เชียงใหม่) ; กระดูกกบ(สุราษฎร์ธานี) ; กกฟ้า , เล่งมุ้ง(จีน)
ชื่อสามัญ : -
ชื่อวงศ์ : CHLORANTHACEAE
ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่ม จะแตกกิ่งก้านสาขาออกรอบ ๆ ต้นมีสีเขียว ลำต้นจะสูงประมาณ 1-3 ฟุต
ใบ : เป็นไม้ใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ลักษณะของใบรูปไข่ ปลายใบจะเรียวแหลม หรือมนก็มี โคนใบนั้นจะสอบผิวใบจะเป็นปุ่ม ๆ ขอบใบจักเป็นซี่ ๆ ทู่ ๆ ก้าน
ใบยาวประมาณ 0.5 นิ้ว มีสีเขียว
ดอก : ออกเป็นช่อยาว อยู่ตรงส่วนยอดของก้าน ก้าน ๆ หนึ่งจะมีช่อดอกอยู่ประมาณ 5-7 ช่อ ส่วนตัวดอกนั้นมีขนาดเล็ก จะออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ กลางดอกมีเกสร 3 อัน
ผล : เป็นรูปไข่ ก้านของผลนั้นจะค่อย ๆ เรียวไปหาโคน
การขยายพันธุ์ : เป็นไม้กลางแจ้ง ที่ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
ส่วนที่ใช้ : ดอก และราก
สรรพคุณ : ดอก นำดอกมาชงเป็นยา แล้วดื่มแต่น้ำเพื่อแก้ไอ
ราก ชาวจีนนั้นจะใช้ปรุงเป็นยา แก้โรคมาลาเรีย ยาพอกหัวฝี หรือสิว ขับเหงื่อ
สรรพคุณ
1. นำใบแก่ที่ยังสีเขียวมา ลนไฟเล็กน้อย อย่าให้ไหม้ จะมีกลิ่นหอม
ทำเป็นบุหงารำไป
2. ใบแก่สด ใช้ทากับปูนสำหรับเคี้ยวหมากของคนแก่
3. กลิ่นนางอ้มคล้ายข้าวสุกที่นึ่งใหม่ จะบรรเทาอาการหอบหืด
4. ใช้ใบที่แห้งชงเป็นน้ำชาได้
ข้อห้ามใช้ : สำหรับรากนั้นอย่าใช้มากจนเกินขนาดหรือมากเกินไป เพราะจะเป็นพิษได้

ถิ่นที่อยู่ : มักจะพบต้นเนียมอ้มนี้ อยู่ตามป่าชื้นทั่ว ๆ ไป